ทุกวันนี้คนเราสามารถหาความรู้ และข่าวสารต่างๆได้อย่างง่ายดายเพียงแค่เปิดหาจากอินเตอร์เน็ตที่ไหนก็ได้ แต่อย่างไรหลายๆคนก็ยังยึดติดกับความเชื่อเก่าๆอยู่เสมอ เรื่องที่คนพูดต่อๆกันมา แล้วเราก็เชื่อและยึดติดกับความเชื่อเหล่านั้นโดยไม่เคยสงสัยว่าเรื่องเหล่านั้นมันจริงหรือมั่วกันแน่ วันนี้ผมอยากจะนำเสนอถึงความเชื่อ 4 ประการเกี่ยวกับการดูแลรูปร่างและการออกกำลังกาย มาดูกันว่ามีเรื่องอะไรบ้าง มันเป็นจริงใช่มั้ยหรือเป็นความเข้าใจผิดๆ มาติดตามกันได้เลยครับ
ความเชื่อที่ 1: “อย่ากินแป้งตอนกลางคืน มันทำให้อ้วนนะ”หรือ“มื้อเช้าซัดให้เปรมเลย มื้ออื่นค่อยกินเท่าแมวดมพอ” หรือ “อยากจะลดน้ำหนัก หลัง 6 โมงเย็นต้องงดอาหารละน้า”
ผมแน่ใจเลยครับว่าเกือบทุกคนที่อยากลดน้ำหนักจะต้องเคยผ่านความเชื่อเหล่านี้มาแล้วทั้งนั้น คุณคิดว่ามันใช้ได้จริงมากสินะ ผมขอบอกเลยครับว่ามันได้ผลครับสำหรับบางคน แต่หลายคนก็ไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆเลย ทำไมเหรอครับ? คงต้องบอกว่า ก็ร่างกายและกิจวัตรประจำวันของแต่ล่ะคนที่แตกต่างกันครับ
ความจริง: จริงๆแล้วร่างกายของเราจะดึงพลังงานไปใช้ตอนที่เราได้ออกแรงหรือออกกำลังเท่านั้นครับ แต่หากไม่ได้ใช้ เช่น คุณกินข้าวเช้า อัดคาร์โบไฮเดรตเข้าไปอย่างหนัก แต่หลังจากนั้นตลอด 8 ชั่วโมงคุณได้แต่นั่งทำงานอยู่หน้าคอม พลังงานที่คุณกินเข้าไปนั้นจะถูกเก็บในร่างกายเป็นไขมันแทนครับ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ถูกต้องคือ คุณควรจะจัดอาหารมื้อใหญ่ที่ให้พลังงานเยอะมากที่สุดของวันไว้ในช่วงที่คุณจะใช้พลังงานมากที่สุดของวันครับ
ความเชื่อที่ 2: “ตัดคาร์โบไฮเดรตไปเลยจะได้ลีน” หรือ “ไม่กินไขมันเลยจะได้เห็นกล้ามชัดๆ”
นี่เป็นความเชื่อที่พบเจอกันได้บ่อยมากครับ โดยเฉพาะคนที่อยากดูผอมเพรียวหรือ อยากจะให้กล้ามดูชัดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการกินไขมัน 0% หรือการไม่กินคาร์โบไฮเดรตนั้นจริงๆแล้วหลักการของพวกมันเหมือนกันครับ มันคือการตัดสารอาหารหลักอย่างหนึ่งของร่างกายไปเลย ถามว่าลดน้ำหนักได้จริงไหม? แน่นอน ลดได้ครับ แต่ดีต่อร่างกายไหม? ไม่เลยครับ
ความจริง: การตัดสสารอาหารหลักไปอย่างนึงแน่นอนครับว่า แคลอรี่ที่คุณได้รับย่อมลดลงอย่างมาก วิธีที่ไม่เป็นการทำลายสุขภาพและสามารถทำได้ยั่งยืนมากกว่า คือหลัก Deficit ครับ หลักการง่ายๆแต่ต้องมีวินัยในการควบคุม พยายามให้ทุกวันของเราได้รับสารอาหารอย่างพอเพียง โดยเทียบเคียงกับกิจวัตรประจำวันของเราครับว่าใช้พลังงานมากขนาดไหน ถ้าเราสามารถกำหนดให้มีปริมาณการใช้พลังงานมากกว่าการได้รับแล้วล่ะก็ ยังไงคุณก็สามารถลดน้ำหนักได้แน่นอนครับ โดยที่ยังสามารถเอ็นจอยกับอาหารที่คุณโปรดปรานได้อย่างไม่มีปัญหาครับ
ความเชื่อที่ 3: “กินเยอะๆ ตัวจะได้โตๆ” หรือ “Bulk เพื่อให้ได้กล้ามเนื้อ”
สำหรับคนที่เล่นกล้าม หรือคนที่รูปร่างบางผอมเพรียวแต่อยากตัวใหญ่ขึ้น ดูหนาขึ้น
ก็คงจะเคยได้ยินกันมานะครับ ที่มีคนมาบอกคุณอยู่เสมอว่าให้กินให้เยอะๆ ให้มากกว่าที่ปกติเราอิ่มมากขึ้นไปอีก สำหรับผม ผมบอกเลยครับว่า สำหรับคนที่เพิ่มน้ำหนักจริงๆ และไม่ได้อยากสร้างกล้ามเนื้อที่แข็งแรงมีคุณภาพจริงๆ ความเชื่อนี้เป็นความจริงครับ แต่หากคุณอยากสร้างกล้ามเนื้อแน่นๆ แข็งแรง ถึงจะมีไขมันสะสมเพิ่มขึ้นอยู่บ้าง อันนี้ไม่ถือว่าถูกทั้งหมดครับ
ความจริง: การเพิ่มน้ำหนักที่ถูกต้องจริงๆแล้วไม่ได้ต้องกินแบบยัดหมอน ให้ตัวแตกหรอกครับ จริงๆแล้วหากคุณเรียนรู้เรื่อง Deficit และสามารถควบคุมการกิน และการใช้พลังงานได้ล่ะก็ การที่มีแคลอรี่เกินกว่าที่ร่างกายใช้เล็กน้อยทุกๆวันยังไงน้ำหนักก็ขึ้นอย่างแน่นอนครับ ทั้งนี้หากรู้จักกินคาร์บก่อน และหลังการออกกำลังกายให้ดีล่ะก็ยังเป็นการทำให้กล้ามเนื้อเติบโตได้ดีขึ้นอีกด้วย
ความเชื่อที่ 4: ขาเล็กเป็นขาไก่ อยากมีขาเต็มไปด้วยมัดกล้ามแข็งแรงต้อง “Squat”
คนส่วนใหญ่อาจจะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการเล่นกล้ามเนื้อขากันนักซักเท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ดีกล้ามเนื้อขาเป็นกล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่สุดในร่างกายคนเรา และหากเรามีกล้ามเนื้อเยอะมากเท่าไหร่ อัตราการเผาผลาญพลังงานก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น และท่า Squat นี้ก็จะเป็นท่าที่คนเล่นขามักจะนึกถึงเป็นท่าหลักๆ จนกระทั่งบางคนอาจจะเล่นแต่ท่า Squatไปเลยก็มี
ความจริง: จริงๆแล้วการออกกำลังกาย ไม่มีคู่มือบอกหรอกครับ ว่าต้องทำอย่างนู้นทำอย่างนี้ ทุกๆท่ามีความแตกต่างกัน ทำให้กล้ามเนื้อแต่ล่ะส่วนทำงานไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นหากคุณเป็นพวกที่ Squatไม่ค่อยได้ มีการอาการเจ็บหรือรู้สึกเล่นไม่ค่อยโดน ไม่ต้องกังวลไปครับ หันไปเล่นท่าอื่น อาจจะทำให้คุณพัฒนาไปได้ดี และเร็วกว่าการที่คุณยังฝืน และยังพยายามทำ Squat ต่อไปครับ
Marc Snyder
สามารถติดตามอ่านบทความ original ก่อนแปลได้ที่
http://www.labrada.com/blog/fat_loss/bodybuilding-myths/
สุดท้ายนี้ผมคิดหวังว่าคงจะช่วยไขข้อข้องใจกับความเชื่อที่เค้าว่ากันว่าทั้งหลาย และคิดว่ามีประโยชน์กับทุกๆคนนะครับ ส่วนถ้ามีคำถามอะไรที่อยากให้ลงรายละเอียดมากขึ้นสามารถสอบถามเข้ามาเพิ่มเติมได้นะครับ
แปลและเรียบเรียงโดย
dulminus
No comments:
Post a Comment