การออกกำลังกายเบาๆ ระหว่างตั้งครรภ์ จะส่งผลดีต่อสุขภาพของทารกในอนาคต โดยจะเป็นการควบคุมน้ำหนักของทารกในครรภ์ด้วย โดยหญิงตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักตัวมากเกินไป มีความเป็นไปได้ว่า จะมีทารกที่ตัวโตกว่ามาตรฐาน และนั่นอาจจะส่งผลต่อสุขภาพในอนาคตของทารกด้วย
จากการศึกษาหญิงตั้งครรภ์ ที่ตั้งครรภ์เป็นครั้งแรกจำนวน 84 ราย พบว่าการออกกำลังกายจะทำให้คลอดบุตรที่มีน้ำหนักน้อยกว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่ออกกำลังกาย โดยที่น้ำหนักของทารกยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน และทารกมีสุขภาพดี จึงแนะนำให้หญิงตั้งครรภ์ออกกำลังกายเบาๆ อย่างสม่ำเสมอ
มีหลักฐานเพิ่มเติมว่า การเผาผลาญอาหารของเด็กในอนาคต อาจจะมีผลมาจากสภาพแวดล้อมภายในครรภ์ และทารกแรกเกิดที่มีน้ำหนักมาก มีโอกาสที่จะอ้วนมากเกินไปในอนาคต
สูติแพทย์จึงชักจูงให้คำแนะนำหญิงตั้งครรภ์ให้บริโภคอาหารแต่พอเหมาะ ในปริมาณที่ไม่มากจนเกินไป และถ้าเป็นไปได้ให้ออกกำลังกายอย่างเบาๆ เป็นพื้นฐานด้วย
การศึกษาร่วมกันระหว่าง มหาวิทยาลัย Auckland และมหาวิทยาลัย Northern Arizona โดยการให้หญิงตั้งครรภ์จำนวนหนึ่งร่วมทำการทดลอง ครึ่งหนึ่งของจำนวนหญิงตั้งครรภ์ให้ออกกำลังกายโดยให้ปั่นจักรยาน 5 ครั้งใน 1สัปดาห์ แต่ละครั้งใช้เวลา 40 นาที และขอให้ผู้เข้าร่วมการทดลอง ออกกำลังกายดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย 36 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์
จากผลการวิจัย พบว่า ผู้เข้าร่วมการทดลองที่ต้องออกกำลังกาย และผู้ร่วมทดลองที่ไม่ได้ออกกำลังกาย คลอดเด็กที่มีความยาวไม่ต่างกัน แต่ผู้ที่ออกกำลังกายจะคลอดเด็กที่มีน้ำหนักน้อยกว่าโดยเฉลี่ย 0.32 ปอนด์ หรือ 143 กรัม และการออกกำลังกายไม่ได้มีผลให้เด็กที่เติบโตในครรภ์แคระแกรน แต่ช่วยลดไขมันส่วนเกินที่เกิดขึ้นแทน
นอกจากนี้ การออกกำลังกายไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของหญิงตั้งครรภ์ต่อฮอร์โมนอินซูลินที่สำคัญต่อกลไกการให้อาหารทารกในครรภ์ การค้นพบได้ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Clinical Endocrinology & Metabolismโดย Dr. Paul Hofman ผู้นำการศึกษาครั้งนี้ กล่าวว่า “เด็กแรกเกิดที่มีน้ำหนักมาก มีความเสี่ยงที่จะอ้วนเกินไปมากขึ้นด้วย เด็กแรกเกิดที่มีน้ำหนักปานกลาง จะส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาวต่อไปในอนาคตโดยการลดความเสี่ยงของโรคต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการมีน้ำหนักเกิน”
Dr. Anne Dornhorst ผู้เชี่ยวชาญการวิจัยเรื่องการย่อยอาหารของหญิงมีครรภ์ เปิดเผยว่าการออกกำลังระหว่างตั้งครรภ์ สามารถช่วยส่งเสริมสุขภาพของแม่และเด็กได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตามการออกกำลังสำหรับหญิงตั้งครรภ์แต่ละรายมีข้อจำกัด ทั้งอายุของมารดา ภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์ และความเสี่ยงต่อการแท้งบุตรที่แตกต่างกันดังนั้น หญิงตั้งครรภ์ควรปรึกษาสูติแพทย์ที่ดูแลครรภ์ด้วยว่าการออกกำลังในรูปแบบใด และมากน้อยแค่ไหน จึงเหมาะสมกับตนเอง
All about wellness and activities such as พิลาทิส pilates bangkok or YogaFly Bangkok โยคะ ฟลาย, everything about diets and athletic lifestyle. Our studio The Balance Pilates Studio & YogaFly offers you the best equipment and the best professionals in Thailand. We are specialist in weight loss and in back problems and the problems of a your workstation as is "Office Syndrome"
Showing posts with label healthylife. Show all posts
Showing posts with label healthylife. Show all posts
Wednesday, June 24, 2015
Sunday, June 21, 2015
เนรมิตหุ่นเช้งกระเด๊ะ! ด้วยการ “ออกกำลังกายตามรูปร่าง"
ออกกำลังกายเท่าไร ก็ยังไม่ได้หุ่นเพอร์เฟกต์อย่างที่คาดหวังเสียที! ปัญหานี้จะหมดไปด้วยการ “ออกกำลังกายตามรูปร่าง”
โดยรูปร่างของผู้หญิง แบ่งได้ 4 รูปทรง คือ ทรงนาฬิกาทราย แอปเปิ้ล ลูกแพร และทรงไม้บรรทัด
1 . สาวรูปร่างแบบนาฬิกาทราย ควรที่จะออกกำลังกายทั้งแบบ cardio exercise และ weight training cardio ซึ่งจะช่วยให้มีน้ำหนักที่เหมาะสมขณะที่เล่น เวทจะช่วยทำให้รูปร่างได้สัดส่วนทั้งลำตัวท่อนบน และลำตัวท่อนล่าง การเล่นเวทที่เหมาะกับหุ่นแบบนี้
ควรเลือกเวทน้ำหนักเบา แต่เน้นเล่นหลายๆ ครั้ง ทั้งนี้เพื่อช่วยให้ได้หุ่นฟิตเฟิร์ม แต่ไม่บึกบึน จนถึงกับเป็นกล้ามปู
การออกกำลังกายที่สาวหุ่นนาฬิกาทรายควรเล่น : วิ่งจ๊อกกิ้งอย่างช้าๆ ,ปั่นจักรยานบนเครื่องปั่น จักรยานแบบไม่ต้องปรับฝืดมาก กระโดดตบ, ว่ายน้ำ,bicep curl shoulder press ,squart วิธีการที่ดีที่สุดสำหรับการเผาผลาญไขมันคือ การออกกำลังกายแบบต่อเนื่องประมาณ 30-40 นาที โดยทำอย่างน้อย 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์
2. สาวรูปร่างทรงแอปเปิ้ล (ค่อนข้างอ้วนหรือเจ้าเนื้อ) อย่างแรกที่ต้องต้องสนใจก็คือ การออกกำลังกายแบบแอโรบิคเพื่อเผาผลาญไขมัน และออกกำลังกาย ช่วงล่าง
การออกกำลังกายที่สาวทรงแอปเปิลควรเล่น : stair climbing, เดินบน treadmill โดยปรับทางให้ ลาดชัน, วิ่ง, leg squats, leg press, and dead lifts นอกจากนี้ แนะนำให้เล่น Pilates ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมของ เหล่าดาราเซเลบ เป็นการออกกำลังกายที่เน้นตรงส่วนกลางลำตัวของเราที่เป็นพื้นฐานของการเคลื่อนไหวต่างๆ และถือเป็นการเล่นบอดี้เวท ที่ครอบคุมทุกส่วนของร่างการ โดยถือเป็นการออกกำลังกายที่ปลอดภัยที่สุด นิยมเล่นกับเครื่องรีฟอเมอร์
3. สาวรูปร่างแบบลูกแพร์ (มีลำตัวท่อนล่างค่อนข้างใหญ่) เมื่อท่อนล่างของคุณ ไม่สมดุลกับท่อนบน ฉะนั้นการออกกำลังกายที่จะทำให้ท่อนล่างเล็กลง ได้แก่ การเต้นแอโรบิค แล้วอย่าลืมกระชับร่างกายส่วนบนด้วยเวทเทรนนิ่ง โดยเลือกใช้เวทที่มีน้ำหนักเบาและเล่น หลายๆ ครั้ง
การออกกำลังกายที่สาวหุ่นลูกแพร์ควรเล่น : เดิน หรือ จักรยาน (แบบไม่ฝืด) ,elliptical, กระโดด เชือก, เล่นท่า leg lift และ dip, วิดพื้น และ shoulder press โดยปกติ สาวหุ่นลูกแพร์จะมีความยืดหยุ่น และสามารถเล่นกีฬาที่เน้นช่วงล่างได้ดี แต่หากอยากออก กำลังกายในส่วนบน ให้ลองเข้าคลาสเต้น combat ดูจร้า
4. สำหรับสาวรูปร่างทรงไม้บรรทัด สามารถออกกำลังรูปแบบไหนก็ได้ตามที่ต้องการ และอาจจะเพิ่มการออกกำลังกายแบบ cardio เพื่อลดไขมันในบางส่วน เช่น หน้าท้อง หรือ สะโพก เคล็ดลับหุ่นเพอร์เฟกต์ของสาวหุ่นไม้บรรทัด คือ สร้างกล้ามเนื้อด้วย เวทเทรนนิ่ง
การออกกำลังกายที่สาวรูปร่างทรงไม้บรรทัดควรลอง : ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ stretching, วิดพื้น, เข้าคลาส step aerobic, ปั่นจักรยาน spinning, เดินหรือ วิ่ง โดยใช้ทางลาดชัน, squats, เล่นเวทช่วงหัวไหล่และ หน้าอกท่า bench press และ ท่าshoulder press
สำหรับรายละเอียดชื่อท่าการออกกำลังกายต่างๆที่แนะนำไปนั้น สามารถเซิร์ทดูตัวอย่างคลิปวิดีโอได้บนยูทูปเลยนะคะ
Sunday, May 10, 2015
แมงลัก สรรพคุณแจ่มแท้ ก่อนกินตามกระแส รู้ 10 เรื่องนี้หรือยัง?
แมงลัก สรรพคุณไม่ธรรมดาจริง ๆ ไม่ใช่แค่ช่วยลดน้ำหนักได้ แต่ยังมีประโยชน์อีกมากมายแฝงอยู่ในพืชชนิดนี้ ทั้งส่วนใบและส่วนเมล็ด ก่อนจะทานตามกระแสที่ใคร ๆ เขาบอกว่าดี มารู้จักเม็ดแมงลักให้มากขึ้นเสียก่อน จะได้รู้ว่าสมุนไพรชนิดนี้เหมาะกับเราหรือเปล่า
1. แมงลักเป็นพืชตระกูลกะเพรา
บางคนรู้จักแต่เม็ดแมงลัก แต่ไม่เคยเห็นต้นและใบ เลยไม่รู้ว่านี่ก็เป็นหนึ่งในพืชตระกูลกะเพรา-โหระพา (Basil) เหมือนกันนะ โดยมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Hoary Basil หรือ Hairy Basil ลักษณะต้นคล้ายกับต้นกะเพรา แต่กลิ่นไม่เหมือนกัน นอกจากนี้ต้นและใบกะเพรากับโหระพายังมีสีแดงปนอยู่บ้าง แต่แมงลักจะไม่มีสีแดงเลย
2. ใบแมงลักให้พลังงานน้อย แต่สารอาหารเพียบ
ข้อมูลจากระบบฐานข้อมูลสารอาหารไทย โดยสำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยพายัพ และสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ ระบุว่า ใบแมงลักหนึ่งหน่วยบริโภค ให้พลังงานเพียง 32 กิโลแคอลรี และยังให้แร่ธาตุวิตามินมากมาย คือ
วิตามินบี 1 0.12 มิลลิกรัม
วิตามินบี 2 0.28 มิลลิกรัม
วิตามินซี 12 มิลลิกรัม
แคลเซียม 194 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 42 มิลลิกรัม
เหล็ก 3.8 มิลลิกรัม
คาร์โบไฮเดรต 2.2 กรัม
โปรตีน 4.1 กรัม
ไขมัน 0.8 กรัม
น้ำ 89.3 กรัม
ไฟเบอร์ 1.6 กรัม
3. รักษาโรคหวัดได้ด้วย
คนชอบเป็นหวัดคัดจมูกต้องผูกมิตรกับใบแมงลักไว้สักหน่อยค่ะ เพราะแมงลักเป็นยารสร้อนเล็กน้อย ใบสดของแมงลักมีสรรพคุณเป็นยาแก้หวัด ลดอาการหลอดลมอักเสบ ขับเหงื่อได้ แนะนำใส่ในแกงเลียงที่มีสมุนไพรหลายชนิด แล้วอาการหวัดจะดีขึ้น
4. เรียกน้ำนมให้คุณแม่มือใหม่
จะบอกให้รู้ว่า "ใบแมงลัก" เป็นสมุนไพรที่ช่วยเรียกน้ำนมได้ดีทีเดียว เหมาะสำหรับคุณแม่ที่เพิ่งคลอดบุตรใหม่ ๆ การทานแมงลักจะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนม เพิ่มปริมาณสารอาหารในน้ำนมของมารดาส่งต่อให้ลูกน้อย อีกทั้งยังช่วยแก้อาการน้ำนมคัดได้อีกนะ
5. ช่วยขับคอเลสเตอรอลไม่ดีออกจากร่างกาย
ในอาหารที่เราทานเข้าไปมีทั้งคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) และคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) แต่เม็ดแมงลักมีส่วนช่วยขับคอเลสเตอรอลตัวร้ายออกจากร่างกายได้ เพราะเส้นใยของแมงลักสามารถดูดซับไขมันไว้ได้ เมื่อร่างกายไม่สามารถย่อยกากใยพวกนี้ได้ ไขมันไม่ดีก็จะถูกขับออกมาพร้อมกับเส้นใยของแมงลัก แต่ไม่มีผลใด ๆ ต่อไขมันดี
และในเมื่อเม็ดแมงลักสามารถกำจัดคอเลสเตอรอลตัวร้ายให้พ้นจากร่างกายไปได้ เพราะฉะนั้นหัวใจดวงน้อย ๆ เลยได้อานิสงส์ไปเต็ม ๆ ถ้ารับประทานเม็ดแมงลักเป็นประจำก็ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้เลย
6. นี่ละตัวช่วยควบคุมน้ำหนักชั้นเลิศ
เคล็ดลับลดน้ำหนักหลายสำนักมักแนะนำให้ทานเม็ดแมงลักก่อนทานอาหาร ซึ่งก็ได้ผลจริง ๆ ค่ะ เพราะเม็ดแมงลักไม่ก่อให้เกิดพลังงาน แถมยังสามารถพองตัวได้ถึง 45 เท่า หากนำไปแช่น้ำสักพักจนพองตัว แล้วนำมาทานก่อนทานอาหารก็จะช่วยให้เรารู้สึกอิ่มท้อง หลังจากนี้ก็จะทานอาหารได้น้อยลง เป็นการควบคุมปริมาณอาหารที่รับประทานได้เป็นอย่างดี เลยควบคุมน้ำหนักได้ด้วย
แต่ขอเตือนว่าไม่ใช่หวังจะลดน้ำหนัก เลยทานแต่เม็ดแมงลักทุกมื้อ ถ้าเป็นแบบนี้รับรองได้ป่วยเพราะขาดสารอาหารแน่นอน ควรรับประทานแค่บางมื้อ หรือพอให้กระเพาะอาหารรู้สึกอิ่มเท่านั้นดีกว่าค่ะ
7. ท้องผูก ไม่ถ่าย เป็นยาระบายชั้นดี
ด้วยความที่เปลือกด้านนอกสามารถพองตัวได้ถึง 45 เท่า โดยไม่ถูกย่อย เม็ดแมงลักก็เลยช่วยเพิ่มกากใยและช่วยหล่อลื่น ทำให้อุจจาระไม่เกาะลำไส้ ขับถ่ายสะดวกขึ้นเยอะ เพราะเม็ดแมงลักจะไปกระตุ้นประสาทที่อยู่รอบ ๆ ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ทำให้เกิดปวดท้องหนัก คนท้องผูกบ่อย ๆ ต้องสรรหาเม็ดแมงลักมาทานดูว่าเห็นผลแค่ไหน วิธีใช้คือรับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนชา แช่น้ำให้พอง แล้วดื่มก่อนนอน
8. ป่วยเบาหวานก็ทานเม็ดแมงลักได้
การที่เม็ดแมงลักพองตัวมากขนาดนั้น เลยทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ช้าลง จึงเหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ต้องการให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลลดลงด้วย
9. ก่อนทานต้องแช่น้ำให้พองตัวเต็มที่
นี่เป็นข้อควรระวังขีดเส้นใต้หนา ๆ ไว้เลยนะคะ เพราะถ้ารับประทานเม็ดแมงลักที่ยังพองตัวไม่เต็มที่ เมื่อเม็ดแมงลักลงไปอยู่ในท้องก็จะดูดน้ำภายในช่องทางเดินอาหาร ทำให้เม็ดแมงลักจับตัวเป็นก้อนแข็ง และอุดตันลำไส้ จนทำให้เกิดการท้องผูก และท้องอืดมากขึ้น แย่เลย
10. อย่าทานยาพร้อมเม็ดแมงลัก
การรับประทานแมงลักพร้อมกับยาตัวอื่น ๆ จะมีผลทำให้ร่างกายดูดซึมยาเหล่านั้นได้น้อยลง ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยากับเม็ดแมงลักพร้อม ๆ กัน โดยให้เลือกรับประทานยาก่อนสัก 15 นาที ค่อยตามด้วยการรับประทานเม็ดแมงลัก
ทานใบแมงลักและเม็ดแมงลักให้ถูกวิธีก็ช่วยดูแลสุขภาพได้ แต่ถ้าใครไม่ชอบทานเม็ดแมงลักผสมน้ำเปล่า ๆ อาจทานกับน้ำแดง หรือผสมลงในผลไม้ โยเกิร์ต แล้วจะช่วยให้ทานได้ง่ายขึ้น อร่อยพร้อมสุขภาพดีแบบคูณสอง
ขอบคุณบทความจาก : health.kapook.com
1. แมงลักเป็นพืชตระกูลกะเพรา
บางคนรู้จักแต่เม็ดแมงลัก แต่ไม่เคยเห็นต้นและใบ เลยไม่รู้ว่านี่ก็เป็นหนึ่งในพืชตระกูลกะเพรา-โหระพา (Basil) เหมือนกันนะ โดยมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Hoary Basil หรือ Hairy Basil ลักษณะต้นคล้ายกับต้นกะเพรา แต่กลิ่นไม่เหมือนกัน นอกจากนี้ต้นและใบกะเพรากับโหระพายังมีสีแดงปนอยู่บ้าง แต่แมงลักจะไม่มีสีแดงเลย
2. ใบแมงลักให้พลังงานน้อย แต่สารอาหารเพียบ
ข้อมูลจากระบบฐานข้อมูลสารอาหารไทย โดยสำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยพายัพ และสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ ระบุว่า ใบแมงลักหนึ่งหน่วยบริโภค ให้พลังงานเพียง 32 กิโลแคอลรี และยังให้แร่ธาตุวิตามินมากมาย คือ
วิตามินบี 1 0.12 มิลลิกรัม
วิตามินบี 2 0.28 มิลลิกรัม
วิตามินซี 12 มิลลิกรัม
แคลเซียม 194 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 42 มิลลิกรัม
เหล็ก 3.8 มิลลิกรัม
คาร์โบไฮเดรต 2.2 กรัม
โปรตีน 4.1 กรัม
ไขมัน 0.8 กรัม
น้ำ 89.3 กรัม
ไฟเบอร์ 1.6 กรัม
3. รักษาโรคหวัดได้ด้วย
คนชอบเป็นหวัดคัดจมูกต้องผูกมิตรกับใบแมงลักไว้สักหน่อยค่ะ เพราะแมงลักเป็นยารสร้อนเล็กน้อย ใบสดของแมงลักมีสรรพคุณเป็นยาแก้หวัด ลดอาการหลอดลมอักเสบ ขับเหงื่อได้ แนะนำใส่ในแกงเลียงที่มีสมุนไพรหลายชนิด แล้วอาการหวัดจะดีขึ้น
4. เรียกน้ำนมให้คุณแม่มือใหม่
จะบอกให้รู้ว่า "ใบแมงลัก" เป็นสมุนไพรที่ช่วยเรียกน้ำนมได้ดีทีเดียว เหมาะสำหรับคุณแม่ที่เพิ่งคลอดบุตรใหม่ ๆ การทานแมงลักจะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนม เพิ่มปริมาณสารอาหารในน้ำนมของมารดาส่งต่อให้ลูกน้อย อีกทั้งยังช่วยแก้อาการน้ำนมคัดได้อีกนะ
5. ช่วยขับคอเลสเตอรอลไม่ดีออกจากร่างกาย
ในอาหารที่เราทานเข้าไปมีทั้งคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) และคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) แต่เม็ดแมงลักมีส่วนช่วยขับคอเลสเตอรอลตัวร้ายออกจากร่างกายได้ เพราะเส้นใยของแมงลักสามารถดูดซับไขมันไว้ได้ เมื่อร่างกายไม่สามารถย่อยกากใยพวกนี้ได้ ไขมันไม่ดีก็จะถูกขับออกมาพร้อมกับเส้นใยของแมงลัก แต่ไม่มีผลใด ๆ ต่อไขมันดี
และในเมื่อเม็ดแมงลักสามารถกำจัดคอเลสเตอรอลตัวร้ายให้พ้นจากร่างกายไปได้ เพราะฉะนั้นหัวใจดวงน้อย ๆ เลยได้อานิสงส์ไปเต็ม ๆ ถ้ารับประทานเม็ดแมงลักเป็นประจำก็ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้เลย
6. นี่ละตัวช่วยควบคุมน้ำหนักชั้นเลิศ
เคล็ดลับลดน้ำหนักหลายสำนักมักแนะนำให้ทานเม็ดแมงลักก่อนทานอาหาร ซึ่งก็ได้ผลจริง ๆ ค่ะ เพราะเม็ดแมงลักไม่ก่อให้เกิดพลังงาน แถมยังสามารถพองตัวได้ถึง 45 เท่า หากนำไปแช่น้ำสักพักจนพองตัว แล้วนำมาทานก่อนทานอาหารก็จะช่วยให้เรารู้สึกอิ่มท้อง หลังจากนี้ก็จะทานอาหารได้น้อยลง เป็นการควบคุมปริมาณอาหารที่รับประทานได้เป็นอย่างดี เลยควบคุมน้ำหนักได้ด้วย
แต่ขอเตือนว่าไม่ใช่หวังจะลดน้ำหนัก เลยทานแต่เม็ดแมงลักทุกมื้อ ถ้าเป็นแบบนี้รับรองได้ป่วยเพราะขาดสารอาหารแน่นอน ควรรับประทานแค่บางมื้อ หรือพอให้กระเพาะอาหารรู้สึกอิ่มเท่านั้นดีกว่าค่ะ
7. ท้องผูก ไม่ถ่าย เป็นยาระบายชั้นดี
ด้วยความที่เปลือกด้านนอกสามารถพองตัวได้ถึง 45 เท่า โดยไม่ถูกย่อย เม็ดแมงลักก็เลยช่วยเพิ่มกากใยและช่วยหล่อลื่น ทำให้อุจจาระไม่เกาะลำไส้ ขับถ่ายสะดวกขึ้นเยอะ เพราะเม็ดแมงลักจะไปกระตุ้นประสาทที่อยู่รอบ ๆ ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ทำให้เกิดปวดท้องหนัก คนท้องผูกบ่อย ๆ ต้องสรรหาเม็ดแมงลักมาทานดูว่าเห็นผลแค่ไหน วิธีใช้คือรับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนชา แช่น้ำให้พอง แล้วดื่มก่อนนอน
8. ป่วยเบาหวานก็ทานเม็ดแมงลักได้
การที่เม็ดแมงลักพองตัวมากขนาดนั้น เลยทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ช้าลง จึงเหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ต้องการให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลลดลงด้วย
9. ก่อนทานต้องแช่น้ำให้พองตัวเต็มที่
นี่เป็นข้อควรระวังขีดเส้นใต้หนา ๆ ไว้เลยนะคะ เพราะถ้ารับประทานเม็ดแมงลักที่ยังพองตัวไม่เต็มที่ เมื่อเม็ดแมงลักลงไปอยู่ในท้องก็จะดูดน้ำภายในช่องทางเดินอาหาร ทำให้เม็ดแมงลักจับตัวเป็นก้อนแข็ง และอุดตันลำไส้ จนทำให้เกิดการท้องผูก และท้องอืดมากขึ้น แย่เลย
10. อย่าทานยาพร้อมเม็ดแมงลัก
การรับประทานแมงลักพร้อมกับยาตัวอื่น ๆ จะมีผลทำให้ร่างกายดูดซึมยาเหล่านั้นได้น้อยลง ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยากับเม็ดแมงลักพร้อม ๆ กัน โดยให้เลือกรับประทานยาก่อนสัก 15 นาที ค่อยตามด้วยการรับประทานเม็ดแมงลัก
ทานใบแมงลักและเม็ดแมงลักให้ถูกวิธีก็ช่วยดูแลสุขภาพได้ แต่ถ้าใครไม่ชอบทานเม็ดแมงลักผสมน้ำเปล่า ๆ อาจทานกับน้ำแดง หรือผสมลงในผลไม้ โยเกิร์ต แล้วจะช่วยให้ทานได้ง่ายขึ้น อร่อยพร้อมสุขภาพดีแบบคูณสอง
ขอบคุณบทความจาก : health.kapook.com
Thursday, May 7, 2015
ผัก ผลไม้ ชนิดใดที่ช่วยลดคลอเลสเตอรอลได้
คอเลสเตอรอล (Cholesterol) คือไขมันที่อยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์และสัตว์ เป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยให้ร่างกายทำงานได้ คอเลสเตอรอลผลิตในตับแล้วส่งไปยังส่วนต่าง ๆ ทางเส้นเลือดให้แก่เซลล์ เซลล์จะคอยรับคอเลสเตอรอลในจำนวนที่มันต้องการ ส่วนที่เหลือเกินจะยังคงติดกรังอยู่ในเส้นเลือด ขัดขวางการไหลเวียนของกระแสเลือด หากเกิดกับเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ก็ปรากฎอาการโรคหัวใจ
คอเลสเตอรอล 2 ชนิด
คอเลสเตอรอลมี 2 ชนิด คือ ชนิดดีและชนิดไม่ดี
ชนิดดีเรียกว่า HDLs (High Density Lipoproteins) ได้จากอาหารและร่างกายผลิตขึ้นเพื่อนำไปใช้ ชนิดดีนี้จะช่วยขับคอเลสเตอรอลที่เกินต้องการออกจากร่างกายด้วย
ชนิดไม่ดีเรียกว่า LDLs (Low Density Lipoproteins) ได้จากอาหารเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เป็นชนิดที่ร่างกายไม่ต้องการ คนที่มีคอเลสเตอรอลสูงจึงควรดูให้ละเอียดด้วยว่า สัดส่วนของชนิดดี กับชนิดไม่ดี เป็นอย่างไร เราควรมีชนิดดีสูง ๆ แต่ถ้ามีชนิดดีต่ำ แปลว่าอัตราเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจค่อนข้างสูง
ระดับคอเลสเตอรอลปกติควรต่ำกว่า 200 สำหรับ HDLs นั้นสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งดี มีการวิจัยออกมาแล้วว่า กลุ่มคนที่กินผักบ่อย ๆ จะมีคอเลสเตอรอลต่ำกว่ากลุ่มคนที่กินแต่เนื้อสัตว์เป็นส่วนใหญ่ เมื่อแพทย์พบว่าคนไข้มีคอเลสเตอรอลสูงก็มักจะแนะนำให้ลดความอ้วน ไม่ให้กินอาหารที่มีไขมันสูง
วิธีเพิ่ม HDLs ลด LDLs ด้วยอาหารธรรมชาติ เช่น หอมใหญ่ หอมเล็ก เป็นของดีมีประโยชน์ทำให้ตัว HDLs สูง ถ้าเอาไปทำให้สุกก็จะด้อยคุณค่าลงเล็กน้อย
ผัก ผลไม้ มักอุดมด้วย วิตามินซี เบต้าแคโรทีน (Beto carotene) และพวกแอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidants) ทั้งหลาย ซึ่งจะมีประโยชน์อย่างมากในการทำให้ LDLs เปลี่ยนเป็นน้ำดี วิตามินซี สามารถรวมตัวกับคลอเลสเตอรอลและแคลเซี่ยมทำให้คอเลสเตอรอลละลายน้ำได้ ข้อสำคัญอย่ากินผลไม้ที่เป็นแป้งและหวานมาก อันจะมีผลต่อน้ำตาลสูงเกินไปอีก
ถั่วและธัญญพืช เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ และข้าวซ้อมมือ ลูกเดือย ข้าวโอ๊ต ก็เป็นกลุ่มอาหารที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้อย่างเร็ว ทั้งยังช่วยเสริมโปรตีนด้วย
กระเทียมมีสารอัลลิไทอะมีน ช่วยเผาผลาญไขมันและลดคอเลสเตอรอล เพิ่ม HDLs
อาหารที่มีวิตามินอีสูง ได้แก่น้ำมันมะกอก ถั่วอัลมอนด์ ผลอะโวคาโด และพวกธัญพืชต่าง ๆ แต่น้ำมันมะกอกถั่วอัลมอนด์และอะโวคาโด ช่วยทำให้ HDLs ของคุณสูงขึ้นเป็นไขมันที่ร่างกายต้องการเช่นเดียวกับไขมันจากปลา
ประโยชน์และความสำคัญของน้ำมันปลา?
ผลจากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์แสดงให้เห็นว่ากรดไขมันจำเป็นชนิดโอเมก้า 3 สามารถป้องกันการสะสมคอเลสเตอรอลในหลอดเลือดได้ EPA และ DHA ในน้ำมันปลา ลดการสร้างคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ โดยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ในตับ
การได้รับไขมันจากปลาควบคู่ไปกับอาหารไขมันสูงชนิดอื่น จึงสามารถช่วยป้องกันการสะสมของคอเลสเตอรอลที่เกินต้องการไม่ให้จับเกาะผนังของเส้นเลือด พบว่าชาวเอสกีโมไม่มีโรคหัวใจ แม้ในชีวิตประจำวันจะกินไขมันมากมายเพื่อสร้างความอบอุ่นแก่ร่างกาย เนื่องจากมีการกินปลาอยู่เป็นประจำ
เพื่อลดคลอเลสเตอรอล เราควรรับประทานอาหารประเภท
1. มะเขือต่างๆ ทั้งมะเขือเทศ มะเขือเปราะ หรือมะเขือพวง อย่างมะเขือเทศก็จะมีทั้งวิตามินซี รวมทั้งมีสารเบต้าแคโรทีนและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์อีกหลายชนิด
2. หอมหัวใหญ่ และ กระเทียมสด สองอย่างนี้มีสรรพคุณชัดเจนในเรื่องของการช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง และลดระดับไขมันและคลอเลสเตอรอลในเส้นเลือด และสารที่สกัดจากหัวหอมใหญ่ สามารถลดน้ำตาลในเส้นเลือดได้
3. ถั่วเหลือง พืชตระกูลถั่วที่ให้โปรตีนสูง ต่อมาคือ แอปเปิ้ล ผลไม้สารพัดประโยชน์ที่มีเพคติน ซึ่งเป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ ซึ่งไฟเบอร์ประเภทนี้จะดึงคอเรสเตอรอลแล้วขับออกมาจากร่างกายได้ นอกจากนั้นก็ยังช่วยบำรุงหัวใจ ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในร่างกาย และอย่างสุดท้ายคือ โยเกิร์ต ที่นอกจากจะช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดได้แล้ว ก็ยังบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งอีกด้วย
4. รับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารเยอะในมื้อเช้า ได้แก่ ข้าวโอ๊ต ผลไม้ เป็นต้น เมื่อเลือกซื้อธัญญหาร ซีเรียล ต่าง ๆ ควรอ่านฉลากข้างกล่อง เลือกซื้อประเภทที่ระบุว่ามีเส้นใยอาหาร 5 กรัมหรือมากกว่า รำข้าวโอ๊ตและรำข้าวเจ้า เป็นอาหาร ที่มีเส้นใยอาหารมากที่สุด
5. รับประทานธัญพืช ได้แก่ ขนมปังโฮลวีต ลูกเดือย เป็นต้น
6. รับประทานถั่ว อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ได้แก่ ซุปถั่ว ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเหลือง ผลิตภัณฑ์ของถั่วเหลือง
7. รับประทานผักและผลไม้ 5 ชนิดทุกวัน เช่น ในมื้อเช้าให้รับประทานผัก (ได้แก่ แครอท มะเขือเทศหั่นบาง)มื้อเที่ยง ผลไม้ (ได้แก่ ส้ม แอปเปิ้ล) มื้อเย็นรับประทานสลัดและผลไม้เพียงแค่นี้ก็สามารถทำให้คุณได้รับผักและผลไม้ 5 ชนิดในแต่ละวัน
8. รับประทานผลไม้สดแทนการดื่มน้ำผลไม้
9. รับประทานกระเทียม เพราะกระเทียมมีคุณสมบัติช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดลง
10. รับประทานผักที่มีวิตามิน ซีและอีสูง อาหารที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ พริกเขียว พริกแดง สตอร์เบอรี่ บร๊อคโคลี่ ส้ม แคนตาลูป สับปะรด เป็นต้น อาหารที่มีวิตามินอีสูง ได้แก่ เมล็ดถั่วเหลือง ถั่วอัลมอนด์ ถั่วเปลือกแข็ง น้ำมันถั่วเหลือง ถั่วเหลือง เป็นต้น
11. มีบางการศึกษาแสดงให้เห็นว่าดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณน้อย ๆ ช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลลง แต่ถึงอย่างไรก็ตามแพทย์ก็ไม่แนะนำให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
นอกจากนี้ควรปฏิบัติดังนี้
1. ออกกำลังกายเบาๆ เช่น การเดิน รำไทเก็ก เป็นต้น
2. อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ ชา กาแฟ เหล้า บุหรี่ เกลือและน้ำตาล อาหารกระป๋อง หรือสำเร็จรูป ขนมปังขาว
Credit : โรงพยาบาลพัทลุง
Saturday, April 18, 2015
สาระเบาๆก่อนนอน วิธีแก้นอนไม่หลับ
อาหารช่วยนอนหลับ (ในแก้ววปั่นกล้วยหอม1 นมถั่ว 3ช็อต และ บลูเบอรี่)
เอามาให้อ่านสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องการนอนหลับจ้ะ กินอะไรช่วยเราได้บ้าง??
1. กินอาหารประเภทข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท มัน เผือก กล้วย อินทผาลัม นม เพราะมีสาน "ทริปโตเฟน" (Tryptophan) เป็นกรดอะมิโนจำเป็น ที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์เองได้ ร่างกายเปลี่ยนเป็น เซอโรโตนิน (Serotonin) หรือ"ฮอร์โมนแห่งความสุข"
ขอยกตัวอย่างกล้วย แนะนำกล้วย1-2ลูกคะ ชนิดใดก้อได้ นอกจากนี้ ในกล้วยยังมีสารเมลาโตนิน(Malatonin) ทริปตามีน (Tryptamine) และพรีไบโอติก (Prebiotics) วิตามินเอ บี ซี แคลเซียม ฯลฯ ซึ่ง Melatonin ก็ช่วยในการนอนหลับเช่นกัน
2. กินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง จำพวกถั่วชนิดต่างๆ ผักสีเขียวเข้ม เช่น ผักโขม และปวยเล้ง
3. ไม่ควรเข้านอนเมื่อยังหิว หรืออิ่มเกินไป นอกจากนี้การกินอาหารมันๆ หรือเผ็ดร้อนมากเกินไปก็อาจส่งผลต่อการนอนหลับได้
4. ชงน้ำผึ้งเล็กน้อยผสมน้ำอุ่น
5. งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนก่อนนอน เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม รวมถึงขนมหวานทุกชนิด เพราะน้ำตาลจะกระตุ้นให้รู้สึกตื่นตัว คึกคัก
นอกจากการกินแล้ว การออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยให้เรานอนหลับได้ง่าย และหลับลึกขึ้น สำหรับตัวเอง เคยมีปัญหาเรื่องการนอนเหมือนกันคะ การออกกำลังกายไม่ว่าจะฝึกพิลาทีส หรือโยคะฟลาย ช่วยให้การนอนหลับของตัวเองดีขึ้นจริงๆคะ
เอามาให้อ่านสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องการนอนหลับจ้ะ กินอะไรช่วยเราได้บ้าง??
1. กินอาหารประเภทข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท มัน เผือก กล้วย อินทผาลัม นม เพราะมีสาน "ทริปโตเฟน" (Tryptophan) เป็นกรดอะมิโนจำเป็น ที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์เองได้ ร่างกายเปลี่ยนเป็น เซอโรโตนิน (Serotonin) หรือ"ฮอร์โมนแห่งความสุข"
ขอยกตัวอย่างกล้วย แนะนำกล้วย1-2ลูกคะ ชนิดใดก้อได้ นอกจากนี้ ในกล้วยยังมีสารเมลาโตนิน(Malatonin) ทริปตามีน (Tryptamine) และพรีไบโอติก (Prebiotics) วิตามินเอ บี ซี แคลเซียม ฯลฯ ซึ่ง Melatonin ก็ช่วยในการนอนหลับเช่นกัน
2. กินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง จำพวกถั่วชนิดต่างๆ ผักสีเขียวเข้ม เช่น ผักโขม และปวยเล้ง
3. ไม่ควรเข้านอนเมื่อยังหิว หรืออิ่มเกินไป นอกจากนี้การกินอาหารมันๆ หรือเผ็ดร้อนมากเกินไปก็อาจส่งผลต่อการนอนหลับได้
4. ชงน้ำผึ้งเล็กน้อยผสมน้ำอุ่น
5. งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนก่อนนอน เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม รวมถึงขนมหวานทุกชนิด เพราะน้ำตาลจะกระตุ้นให้รู้สึกตื่นตัว คึกคัก
นอกจากการกินแล้ว การออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยให้เรานอนหลับได้ง่าย และหลับลึกขึ้น สำหรับตัวเอง เคยมีปัญหาเรื่องการนอนเหมือนกันคะ การออกกำลังกายไม่ว่าจะฝึกพิลาทีส หรือโยคะฟลาย ช่วยให้การนอนหลับของตัวเองดีขึ้นจริงๆคะ
Subscribe to:
Comments (Atom)