Saturday, October 25, 2014

โยคะช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือ?


สมัยนี้คนเราหันมารักสุขภาพกันมากขึ้นโดยการเริ่มออกกำลังกายบ้าง เล่นกีฬาบ้าง และโยคะก็เป็นหนึ่งในกีฬาที่ได้รับความนิยม เพราะว่านอกจากจะช่วยให้สุขภาพเเข็งแรงแล้ว สามารถเสริมสร้างบุคลิกภาพ เสริมสร้างสมาธิ ทำให้เส้นต่างๆ ในร่างกายมีความยืดหยุ่นมากขึ้น และยังเชื่อกันว่าสามารถช่วยลดน้ำหนักได้อีกด้วย หากว่าเราเล่นได้อย่างถูกวิธี

การเล่นโยคะสามารถลดน้ำหนักได้หรือไม่ คงเป็นคำถามที่น่าสนใจทีเดียว เพราะปกติเเล้วเรามักจะถูกสั่งสอนกันมาว่า การที่จะลดน้ำหนักได้ต้องออกกำลังกายให้หัวใจเต้นเป็น 2 เท่าของอัตราการเต้นหัวใจปกติ ดังนั้นเมื่อหัวใจเต้นแรงร่างกายเกิดการขับเหงื่อนำไขมันมาเผาผลาญจึงสามารถลดน้ำหนักได้ แล้วโยคะหละจะช่วยลดน้ำหนักได้อย่างไรในเมื่อเราเน้นการฝึกทำสมาธิ

คำตอบก็คือเนื่องจากการเคลื่อนไหวของท่าโยคะ เป็นการ เคลื่อนไหวแบบเบาๆ ถ้าเทียบกับการออกกำลังกายลดน้ำหนักอื่นๆ บางชนิด เช่น เทนนิส บาสเกตบอล เต้นรำ เต้นแอโรบิค เป็นต้น อัตราการเผาผลาญจึงไม่มากนัก พลังงานส่วน ใหญ่มาจากการสลายน้ำตาลในเลือดและตับ แต่เนื่อง จากการเคลื่อนไหวของโยคะต่อเนื่องและเป็นเวลานาน ดังนั้นจะมีการสลายไขมันนำมาใช้เป็นพลังงานบ้างใน ช่วงท้ายๆ ของท่าต่างๆ โดยโยคะที่สาวๆ มักนิยมเล่นกันมีดังนี้

1.โยคะร้อน นิยมฝึกกันในห้องอุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส นาน 45 นาที ความต่างของโยคะธรรมดากับโยคะร้อนนี่ ที่เห็นกันชัดๆ คือเรื่องของการยืด เหยียด บิด โยคะร้อนจะช่วยได้ดีกว่า เนื่องจากร่างกายพออยู่ในอุณภูมิที่สูงขึ้น จะยืด เหยียดอะไรก็ง่ายกว่ามาก สำหรับคนเล่นใหม่ๆ แนะนำให้เล่นโยคะร้อนก่อน เพื่อปรับสมดุลของท่า ปกติโยคะร้อนจะเล่น 90 นาที เผาผลาญได้ถึง 500-600 แคลอรี่ (โยคะธรรมดาเผาผลาญได้ 300 แคลอรี่) และช่วยเรื่องผิวพรรณ กระชับสัดส่วน ดูอ่อนเยาว์



2.โยคะฟลาย มาแรงมากในหมู่ดารา ประโยชน์ของโยคะฟลาย ก็ไม่ต่างจากการเล่นโยคะทั่วไป หรือการออกกำลังกายชนิดอื่นๆ คือเป็นการออกกำลังกายชนิดหนึ่ง ที่เน้นการยืดเหยียดของกล้ามเนื้อกระดูก และเสริมสร้างความสมบูรณ์ให้กับกล้ามเนื้อ อุปกรณ์สำคัญในการเล่น โยคะฟลาย คือ ผ้า Hommog ที่ทำจากวัสดุพิเศษ ที่มีความนุ่มและหยืดหยุ่นได้ดี สามารถรับน้ำหนักได้ถึง 1000 กิโลกรัมเลยทีเดียว ผ้า Hommog นี้เวลาเล่นก็ต้องแขวนบนเพดานอย่างแน่นหนา เพื่อที่เวลาบินขึ้นไปแล้วจะไม่ร่วงลงมาสู่พื้นนั่นเอง

จะเห็นได้ว่าโยคะแต่ละท่ามีผลต่อร่างกายแตกต่างกันไป การฝึกโยคะบางท่ามีผลช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อบางท่าช่วยบำบัดรักษาโรค นอกจากนี้การฝึกโยคะยังให้ประโยชน์อีกมากต่อสุขภาพจิตเป็นการออกกำลังกายลดน้ำหนักที่ดี และประสิทธิภาพในการทำงานของสมองด้วย ซึ่งแน่นอนว่าผลดีทั้งปวงที่ร่างกายซึ่งทั้งนี้ต้องมีการฝึกปฏิบัติเป็นประจำเท่านั้นจึงจะได้ผลดี

สำหรับสาวๆ ที่สนใจเรียนโยคะฟลาย (Yoga Fly) ทาง Yoga fly bangkok  มีคอร์สดีๆ มานำเสนอ เรียนโยคะฟลาย 10 classes ราคา 4,275 บาทเท่านั้น สตูดิโออยู่ใกล้กับ BTS อุดมสุข ใช้เวลาเดินไม่ถึง 5 นาที สะดวก มีที่จอดรถฟรี และใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากมาย สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.sanooklife.com/collections/50-yogafly-bangkok 

ที่มา www.oknation.net/blog

Tuesday, October 21, 2014

ดูแลรูปร่างให้สวย ภายใน 7 วัน ต้อนรับฮาโลวีน


ใกล้ช่วงเทศกาลฮาโลวีนเข้ามาทุกทีแล้วนะคะ สาวๆ หลายคนคงกำลังวิ่งวุ่น เตรียมพร้อมเสื้อผ้า หน้าผมเพื่อไปปาร์ตี้กันวันฮาโลวีน

วันนี้เรามีเคล็ดลับดีๆ ในการดูแลรูปร่างให้สวย เซ็กซี่มาฝากกันคะ รับรองเห็นผลภายใน 7 วันก่อนฮาโลวีน สิ้นเดือนตุลาคมนี้แน่นอนคะ

จำกัดปริมาณแคลอรี่ เลือกกินไขมันชนิดดีที่มีไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว เป็นต้น

ทานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนจากข้าวกล้อง ธัญพืชไม่ขัดสี

ลดการกินแป้งขัดขาว น้ำตาล โดยเฉพาะน้ำตาลที่แฝงมาในขนมและเครื่องดื่ม

เลือกกินโปรตีนคุณภาพดี เช่น ปลา นมพร่องมันเนย ถั่วต่างๆ

เพิ่มการกินผักและผลไม้รวมทั้งธัญพืช ถั่วฝัก และถั่วเมล็ดแห้ง ซึ่งมีใยอาหาร วิตามิน และเกลือแร่สูง

น้ำอัดลมเป็นสิ่งต้องห้าม สำหรับบรรดาสาว ๆ ที่อยากลดความอ้วน ฉะนั้นห้ามรับประทานเด็ดขาดนะคะ ควรรับประทานน้ำผลไม้หรือน้ำเปล่าจะดีกว่าค่ะ

ดื่มน้ำเปล่า ให้ได้วันละ 8-10 แก้ว แนะนำให้ดื่ม 1 แก้วหลังจากตื่นนอน จากนั้นดื่ม 1 แก้วก่อนมื้ออาหารทั้ง 3 มื้อ และหลังอาหารทั้ง 3 มื้อ ดื่มอีก 1 แก้ว ค่อยๆ จิบไปทีละน้อย ในระหว่างวันควรจิบน้ำบ่อยๆ จะได้ไม่รู้สึกกระหาย สดชื่น มีพลัง และไม่โหยหาอาหารว่าง ของกินเล่นมากนัก

มื้อเช้า รับประทานไข่ต้ม  1-2 ฟอง ไข่ต้ม 1 ฟองมี 73 แคลอรี่

มื้อกลางวัน แนะนำให้ห้กินส้มตำผลไม้กับตับปิ้งวันละ 1-2 ไม้ หรือบางวันจะเปลี่ยนเป็นส้มตำกับซุปหน่อไม้แทนก็ได้ หรือถ้าไม่ชอบให้เปลี่ยนมากินสลัดผักกับทูน่าแทนก็ได้ กินแบบนี้  4 วัน ที่เหลือ 3 วันให้กินก๋วยเตี๋ยวไก่แทน

มื้อเย็นกิน เฉพาะผักนึ่งกับน้ำพริกไม่ต้องกินข้าว แนะนำน้ำพริกปลาทู น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกอ่อง น้ำพริกกะปิ หรือบางวันให้สลับกินปลานึ่งตัวเล็ก ๆ แทนก็ได้ หรือถ้าไม่ชอบน้ำพริก ให้กินแกงจืดใส่ผักกับเห็ดฟางแทนได้ทั้ง 7 วัน

ห้ามกักตุนของกินเล่นในตู้เย็น แนะนำว่าเป็น ผัก ผลไม้ จะดีกว่าค่ะ

ออกกำลังกาย ลดความอ้วนให้ได้ผล ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อช่วยเผาผลาญพลังงาน อย่างน้อยครั้งละอย่างน้อย 30 นาที 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ สาวๆ สามารถออกกำลังกายง่ายๆ ด้วยการเดินเร็ว วิ่ง ปั่นจักรยาน เต้นแอโรบิค ว่ายน้ำ หรือหากสาวๆ อยากออกำลังกายที่ช่วยลดน้ำหนัก เห็นผลได้ไว แนะนำต่อยมวยคะ มวยไทยนี่แหละคะ เด็ดจริงๆ คะ กีฬายอดฮิตที่นางแบบหลายๆ คนเล่นเป็นประจำ ลองดูสักหนึ่งสัปดาห์คะ รับรองกล้ามเนื้อกระชับ แข็งแรง น้ำหนักหายไปอย่างรวดเร็วจริงๆ คะ หรือจะเป็นโยคะฟลาย พิลาทีส กีฬาที่ฟีเวอร์มากๆ ให้ทั้งหุ่นสวยกระชับ ผิวพรรณเปล่งปลั่่ง กล้ามเนื้อแข็งแรง และช่วยฝึกสมาธิดีอีกด้วยคะ หรือหากเบื่อๆ ไม่อยากออกำลังกายซ้ำๆ ก็ลองหันมาเรียนเต้นดูคะ นอกจากจะสนุกแล้ว ยังได้เหงื่อ ได้ออกกำลังกาย ฝึกสมาธิ และสร้างบุคลิกภาพที่ดีไปพร้อมๆ กันอีกด้วยคะ

สำหรับสาวๆ ที่สนใจอยากทดลองออกกำลังกายด้วยกีฬาน้องใหม่มาแรง ที่ให้ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี ช่วยลดน้ำหนัก และสร้างรูปร่างที่สง่างาม อย่างโยคะฟลาย และพิลาทิส เรียนชกมวย เรียนเต้นหลากหลายรูปแบบ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวการสอน ราคา และตารางการเรียนได้ที่ http://www.sanooklife.com ถูกและดีมีที่นี่ที่เดียวคะ ขอบอก



Friday, October 17, 2014

ลดน้ำหนักง่ายๆ ด้วย "ฟักทอง"


ช่วงนี้ใกล้ๆ เทศกาลฮาโลวีน (Halloween) แล้วนะคะ แต่ละสถานที่เริ่มประดับประดาด้วยตุ๊กตาหุ่นฟาง แม่มด หัวกะโหลก และฟักทอง

เจ้าฟักทองนี่นอกจากจะใช้ประดับสถานที่ให้สวยงามแล้ว ยังมีประโยชน์อีกเยอะเลยนะคะ สาวๆ ที่กำลังลดความอ้วน ฟังทางนี้คะว่าฟักทองมีดีอย่างไร

จากการวิจัยเทียบกับพืชชนิดอื่นถือว่าฟักทองให้พลังงานต่ำ มีไขมันน้อย จึงเหมาะกับคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก เเต่จะต้องควบคุมปริมาณน้ำตาลที่เติมเข้าไปด้วย นอกจากนี้ฟักทองยังมีกากใยสูงสามารถช่วยระบบขับถ่ายได้เป็นอย่างดี



สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก เพียงแค่รับประทานฟักทองหนึ่งถ้วยหรือ 3 กรัมจะทำให้ร่างกายรู้สึกอิ่มได้นานขึ้น

นอกจากจะช่วยเรื่องการลดน้ำหนักแล้ว ฟักทองยังช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณของคุณสาวๆ มีน้ำมีนวล เปล่งปลั่งน่าสัมผัสอีกด้วยคะ

การรับประทานฟักทองทั้งเปลือกจะสามรถกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ซึ่งสารตัวนี้เป็นสารที่ควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกาย หากขาดสารตัวนี้ หรือการหลั่งอินซูลินผิดปรกติ จะทำให้เกิดโรคเบาหวานได้ นอกจากนี้การรับประทานทั้งเปลือกยัง สามรถควบคุมความดันโลหิต บำรุงตับ บำรุงไต บำรุงดวงตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์เก่าที่เสื่อมสภาพได้อีกด้วย

นอกจากทานฟักทองแล้ว แนะนำให้ออกกำลังกายควบคู่กันไปด้วยนะคะ ที่สำคัญอย่าลืมดื่มน้ำเยอะๆ คะ นอกจากจะช่วยเรื่องการขับถ่ายแล้ว ยังช่วยเรื่องการไหลเวียนโลหิต และทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น กระปี้กระเป่าด้วยคะ

สำหรับสาวๆ ที่สนใจอยากทดลองออกกำลังกายด้วยกีฬาน้องใหม่มาแรง ที่ให้ทั้งสุขภาพกายแลสุขภาพจิตที่ดี ช่วยลดน้ำหนัก และสร้างรูปร่างที่สง่างาม อย่างโยคะฟลาย และพิลาทิส เรียนชกมวย เรียนเต้นหลากหลายรูปแบบ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวการสอน ราคา และตารางการเรียนได้ที่ http://www.sanooklife.com



Saturday, October 11, 2014

เคล็ดลับสวยหุ่นดีแบบ ‘ศรีริต้า’ เกนหลง อย่าลืมฉัน



เรียกว่าตั้งแต่ฉากแรกที่ออกมา ในละคร อย่าลืมฉัน ตัวละคร เกนหลง ที่รับบทโดย ศรีริต้า เจนเซ่น ก็เป็นที่ถูกอกถูกใจแฟนๆ ละครชั่วข้ามคืน เพราะด้วยบุคลิกที่ดูสวยสง่า เพียบพร้อม ราวกับเจ้าหญิง ซึ่งต้องเป็นตัวแปรสำคัญในการทำให้จิตใจของพระเอก ‘เขมชาติ’ รับบทโดย ติ๊ก เจษฎาภรณ์ ต้องหวั่นไหว



งานนี้ เรียกว่าด้วยคาแร็กเตอร์ของเกนหลง อย่าลืมฉัน เหมาะสมกับสาวริต้า ทุกประการทีเดียวจ้า เพราะด้วยรูปร่างหน้าตาที่สวยกินขาดขนาดนี้ ใครได้อยู่ใกล้ก็คงต้องมีเผลอใจบ้างไรบ้างอ่ะนะ ซึ่งกว่าจะได้รูปร่างที่สวยขนาดนี้สาวริต้า มักจะไปออกกำลังกายเรียกเหงื่อโดยเล่น ‘พิลาทิส (Pilates)’ หรือแม้กระทั่ง พาน้องหมาออกไปวิ่งเล่น ก็ตาม ซึ่งนอกจากจะทำหุ่นสวยเป๊ะแล้ว ยังเป็นที่มาของการมีสุขภาพดีอีกต่างหาก รู้อย่างนี้สาวๆ อย่าลืมหาเวลาไปออกกำลังกายกันบ้างนะจ๊ะ…^^



สำหรับสาวๆ ที่สนใจอยากทดลองเรียนพิลาทิส (Pilates) เรามีคอร์สดีๆ มาแนะนำคะ พิลาทิส Reformer - Pilates Bangkok 10 คลาส ราคาเพียงแค่ 6,175 บาทเท่านั้น สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.sanooklife.com/collections/pilates-bangkok-1

สถานที่: สตูดิโอ ไอ เลิฟ พิลาทิส ติด BTS อุดมสุข มีที่จอดรถฟรี 4 ชม. เข้าทางสุขุมวิท 103 ตรงข้ามศูนย์ฮอนด้า

สิ่งอำนวยความสะดวก: ห้องอาบน้ำ ล็อคเกอร์ บริการน้ำดื่ม น้ำแร่ฟรี

สตูดิโอเปิดบริการ

วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 8:00-22:00 น.
เสาร์-อาทิตย์ เวลา 9:00-20:00 น.

ที่มา darafashion.gmember.com

Wednesday, October 1, 2014

ออกกำลังเพื่อลดน่องทำอย่างไร


ก่อนอื่นเราต้องดูก่อนว่าขาและน่องของเรามีลักษณะแบบไหนเพื่อที่จะเลือกการบริหารได้อย่างถูกทาง ดูว่าน่องเราใหญ่เพราะกล้ามเนื้อหรือใหญ่เพราะไขมัน หรือน่องลีบไม่สมส่วน

น่องใหญ่แบบมีกล้ามเนื้อเป็นปั้นๆ

ต้องทำใจกันก่อนว่าอาจจะด้วยลักษณะทางพันธุกรรมของเราที่มีโครงสร้างกระดูกและการทิ้งน้ำหนักเวลาเดินที่ส่งผลให้กล้ามน่องเราเจริญมาแบบนี้ แนวทางคือพยายามไม่ไปกระตุ้นให้กล้ามเนื้อส่วนนี้เจริญไปมากกว่านี้ และพยายามสลายไขมันเมื่อส่วนที่เป็นไขมันลดลง ขาของคุณก็จะดูเฟิร์มขี้นเอง แนวทางออกกำลังเพื่อลดน่อง

งดต่อส้น

ทำส้นให้เตี้ยลง คืองดใส่ส้นสูงนั่นเอง งดเดินด้วยปลายเท้าหรือจมูกเท้า (เดินแบบยกส้น) เลือกรองเท้าที่ใส่แล้วเดินสบายและลงน้ำหนักได้เต็มเท้าแทน

วิ่ง

เพราะการวิ่งนี่แหละที่จะช่วยให้ขาและน่องของคุณดูเล็กลงได้ ข้อแม้คือต้องไม่วิ่งเร็วจี๋เหมือนนักวิ่งลมกรด และอย่าวิ่งด้วยปลายเท้าให้วิ่งลงเต็มเท้า วิ่งที่ความเร็วพอประมาณ แต่วิ่งให้นาน (ง่ายๆคืออย่าเลียนแบบนักวิ่งระยะสั้นแต่ให้เลียนแบบนักวิ่งมาราธอนแทน) ถ้าไม่วิ่ง ก็ออกกำลังแบบคาร์ดิโอแบบอื่นก็ได้ ที่สำคัญคือคาร์ดิโอที่คุณเลือกทำต้องเป็นคาร์ดิโอแบบมีแรงต้านน้อย ถ้าวิ่งบนเครื่องวิ่งก็ไม่ต้องปรับความชัน ถ้าวิ่งกลางแจ้งก็วิ่งบนพื้นเรียบ อย่าไปวิ่งขึ้นเขา การวิ่งระยะยาวนี่แหละที่จะช่วยลดทั้งขนาดของกล้ามเนื้อและไขมัน ไม่เฉพาะแต่ที่ขาของคุณเท่านั้นที่จะลด ส่วนอื่นๆก็จะลดลงตามไปด้วย

หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เน้นความแข็งแรงและความเร็วจากกล้ามเนื้อขา

รวมทั้งการกระโดดที่มีการกระแทกสูงอย่างเช่นการกระโดดเชือก (แบบเอาปลายเท้าลง) คาร์ดิโอแบบเข้มข้น กิจกรรมที่มีการปรับความชันหรือความฝืด พวกวิ่งขึ้นเขาหรือวิ่งแบบปรับความชัน เพราะกิจกรรมแบบนั้นจะทำให้กล้ามเนื้อขาพัฒนาใหญ่ขึ้นไปอีก

ออกกำลังแบบคาร์ดิโอที่มีแรงกระแทกต่ำๆ

อาทิเช่น ว่ายน้ำ เดิน cross-training และปั่นอีลิปติคอล ที่จริงอีลิปติคอลเป็นกิจกรรมที่มีแรงกระแทกน้อยมาก แต่ขอเตือนอีกทีว่าคือถ้าอยากออกกำลังเพื่อลดน่อง อย่าลืมปรับแรงต้านให้น้อยลงด้วย

หลีกเลี่ยงเครื่อง step machine

รวมทั้งการออกกำลังกายอื่นๆที่เน้นการปีนป่าย และออกกำลังแบบมีแรงต้าน เพราะการออกกำลังเหล่านี้ล้วนแต่ต้องการความแข็งแรงของกล้ามเนื้อน่อง ยิ่งไปออกมาก กล้ามเนื้อส่วนนั้นก็จะยิ่งพัฒนาขึ้นมาก แต่ถ้าคุณยังคงอยากออกกำลังแบบนี้ แนะนำให้ทำแบบแรงต้านต่ำๆแต่ทำหลายๆรอบแทน

ยืดกล้ามเนื้อ

การยืดกล้ามเนื้อช่วยทำให้กล้ามเนื้อชิ้นใหญ่ๆหนาๆดูเพรียวลงได้ ขอแนะนำคลาสโยคะหรือพิลาทิส เพราะคลาสเหล่านี้เน้นการฝึกเพื่อยืดกล้ามเนื้อ ท่าบริหารเพื่อยืดกล้ามเนื้อน่องแบบง่ายๆ คือท่าดันกำแพง วิธีการคือยืนหันหน้าเข้ากำแพง แยกเท้าโดยให้เท้าข้างนึงห่างจากกำแพงประมาณหนึ่งฟุต เท้าอีกข้างห่างจากกำแพงประมาณสามฟุต มือสองข้างยันกำแพง ขณะที่ออกแรงดันกำแพง ขาข้างที่ยืดไปข้างหลังควรอยู่ในแนวเส้นตรง ขาที่อยู่ด้านหน้างอเล็กน้อย ออกแรงดันค้างไว้ 15-30วินาที แล้วเปลี่ยนข้าง ทำแบบเดียวกัน ถ้าคุณทำถูกท่า คุณจะรู้สึกตึงๆที่ด้านหลังของขา

ออกกำลังด้วยการหมุนข้อเท้า

วิธีการคือ นั่งบนเก้าอี้ หลังตรงพิงพนักพิง หมุนเท้าซ้ายเป้นวงกลม 360 องศา ทิศทางตามเข็มนาฬิกา ทำ 6 ครั้ง แล้วหมุนสวนทางอีก 6 ครั้ง เสร็จแล้วเปลี่ยนไปทำแบบเดียวกันที่เท้าขวา


น่องเป็นเหลวๆ ใหญ่เพราะไขมันแต่ไม่มีกล้าม

แนวทางคือ ต้องออกกำลังเพื่อสลายไขมันและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ไม่ต้องกลัวว่าน่องคุณจะกลายเป้นกล้ามปูดๆเพราถ้าคุณไม่ได้มีกล้ามน่องอยู่แล้ว(จากพันธุกรรมหรือลักษณะการเดิน) กล้ามเนื้อส่วนนี้ขึ้นยากมากๆแม้แต่นักเพาะกายอาชีพยังมีปัญหากับการเพิ่มกล้ามน่อง สำหรับมนุษย์ขาตะเกียบที่อยากเพิ่มกล้ามน่องก็ใช้วิธีเดียวกัน ง่ายๆก็คือ ทำสวนทางกะแบบข้างบนนั่นแหละ

บริหารด้วยท่าที่เน้นการออกแรงที่ปลายเท้า

เช่น เขย่งเท้า หรือ calf raise รวมทั้งท่า Squats แบบยกส้นเท้า หรือท่า jumping squat ถ้าบริหารโดยเพิ่มน้ำหนักหรือเพิ่มแรงต้านเข้าไปด้วย จะได้ผลดียิ่งขึ้น

กระโดดเชือก

เพราะการกระโดดเชือกเป้นการบริหารที่บังคับให้คุณต้องลงน้ำหนักที่ปลายเท้า จำไว้ว่าเมื่อไหร่ที่คุณลงน้ำหนักที่ปลายเท้า เมื่อนั้นคุณกำลังใช้งานกล้ามเนื้อส่วนน่องอยู่ ยิ่งถ้าคุณสามารถกระโดดสองจังหวะ (double jump)ได้ คุณจะยิ่งเบิร์นส่วนล่างของขาได้ดีกว่าการกระโดดแบบจังหวะเดียว

วิ่งเร็วๆ วิ่งด้วยปลายเท้า

ระเบิดพละกำลังจากขาออกมาให้หมด มีเท่าไหร่ใส่เต็มที่ในระยะเวลาสั้นๆ ที่จริงการวิ่งเร็วๆเป้นวิธีเบิร์นไขมันที่ดีมาก เหมาะสำหรับคนที่มีเวลาน้อยแต่อยากลดไขมันได้เร็วๆ การออกแรงแบบเข้มข้นและเค้นแรงออกมาในระยะเวลาสั้นๆจะบังคับให้ร่างกายเราปรับตัวและพัฒนากล้ามเนื้อส่วนนั้นได้ดียิ่งขึ้น


น่องใหญ่จากไขมัน

การออกกำลังกายอาจช่วยให้น่องเรียวลง เช่น ว่ายน้ำ จ้อกกิ้ง พิลาทิส โยคะ คือควรออกกำลังที่มีการเกร็งและยืดเหยียดด้วย ในช่วงแรกที่ออกกำลังอาจดูว่าน่องใหญ่ขึ้นเนื่องจากกล้ามเนื้อขยายขนาดแต่ เมื่อออกกำลังไปเรื่อยๆ จะทำให้น่องลดลงและกระชับขึ้น ที่สำคัญคือ ต้องยืดเหยียดกล้ามเนื้อน่องควบคู่ไปด้วยจึงจะได้ผล

ท่าบริหารน่องที่จะแนะนำทั้งหมดมี 5 ท่า

1. The squat rack calf raise
ยืนบนแท่น เริ่มต้นกดส้นลงไป กดส้นเท้าให้รู้สึกตึงๆ โดยที่เข่าตรง แล้วค้างและนิ่งไว้ประมาณ 2 วินาที ยกขาขึ้นด้วยอุ้งเท้าแล้วยกขึ้นยกลงด้วยข้อต่อ แล้วจึงค่อยๆปล่อยส้นเท้าลง ทำทั้งหมด 10-12 ครั้งครับ ควรจะเพิ่มน้ำหนักขณะทำการบริหารและในจังหวะที่เขย่งเท้าสูงสุด (อาจจะเพิ่มน้ำหนักด้วยการถือดัมเบลก็ได้)

2. Squats
ท่านี้คล้ายกับท่าแรก ให้เรายืนเขย่งบนพื้นราบ แล้วค่อยๆย่อเขาลง ค้างไว้ แล้วก็ยืดตัวขึ้น พยายามทรงตัวนิดนึงนะ คิดว่าควรจะให้เท้าทั้งสองข้างห่างกันสักหน่อย เพราะเดี๋ยวจะหกล้มซะก่อน แต่ถ้าอยากให้การบริหารเห็นผลมากขึ้น ให้ทำท่านี้พร้อมกับทำการกระโดดด้วยปลายเท้าไปด้วย

3. Skipping/ Rope jumping
กระโดดเชือก ให้ทำเยอะหน่อย คือประมาณ 20 นาที ขณะกระโดดให้เราใช้ปลายเท้าเสมอ ถ้าใครแข็งแรงสามารถทำได้มากขึ้น น่องก็จะสวยเร็วขึ้น

4. Sprinting
การวิ่งที่อาจจะไม่เหมือนการวิ่งปกติทั่วๆ ไป ที่วิ่งด้วยความเร็วคงที่ แต่จะเน้นการวิ่งที่มีการเร่งความเร็วขึ้นทันทีขณะที่วิ่ง แนะนำเหมือนเดิม ให้ใช้ปลายเท้าขณะวิ่งเสมอ เพราะการใช้ปลายเท้าคือการได้ใช้งานกล้ามเนื้อน่อง

5. Leg press machine
ท่านี้ต้องอาศัยอุปกรณ์ที่อลังการกว่าท่าอื่นสักหน่อย ขั้นตอนการบริหารให้ดูรูปน่าจะเข้าใจได้ดีกว่าการอธิบาย ขณะบริหารเราอาจจะไม่จำเป็นต้องงอเข่า และขาทั้งหมดแต่ให้ขยับเฉพาะส่วนข้อ เท้าโดยให้ใช้ปลายเท้าดันน้ำหนักไปข้างหน้า แล้วค้างไว้ เช่นเดิม แล้วจึงค่อยๆผ่อนแรงดันน้ำหนักลง

สำหรับสาวๆ ที่สนใจอยากทดลองเรียนพิลาทิส (Pilates) เรามีคอร์สดีๆ มาแนะนำคะ พิลาทิส Reformer - Pilates Bangkok 10 คลาส ราคาเพียงแค่ 6,175 บาทเท่านั้น สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.sanooklife.com/collections/pilates-bangkok-1

สถานที่: สตูดิโอ ไอ เลิฟ พิลาทิส ติด BTS อุดมสุข มีที่จอดรถฟรี 4 ชม. เข้าทางสุขุมวิท 103 ตรงข้ามศูนย์ฮอนด้า

สิ่งอำนวยความสะดวก: ห้องอาบน้ำ ล็อคเกอร์ บริการน้ำดื่ม น้ำแร่ฟรี

สตูดิโอเปิดบริการ

วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 8:00-22:00 น.
เสาร์-อาทิตย์ เวลา 9:00-20:00 น.

ที่มา www.withikarn.com

Sunday, September 28, 2014

เทคนิคการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก


1. รูปแบบการออกกำลังกาย (Type) สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักและควบคุมน้ำหนักตัว ควรเลือกกิจกรรมการออกกำลังกายประเภทแอโรบิก หรือการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง อาทิ การเดิน การวิ่งเหยาะ ๆ การขี่จักรยานแบบนั่งอยู่กับที่ การว่ายน้ำ หากของออกกำลังกายเป็นกลุ่มก็เข้าร่วมกิจกรรมการเต้นแอโรบิก การฝึกไท้เก๊ก การฝึกโยคะ เป็นต้น โดยพิจารณาให้เหมาะสมกับตนเอง และคำนึงถึงความสะดวก ปลอดภัย รวมทั้งความยากง่ายด้วย และควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกหรือมีการเปลี่ยนแปลงจังหวะทิศทางเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว ซึ่งจะมีผลต่อข้อเข่าข้อเท้าทำให้เกิดการบาดเจ็บได้

2. ระยะเวลาในการออกกำลังกาย (Duration) หากต้องการให้ร่างกายให้พลังงานหรือเผาผลาญไขมันได้มาก ควรให้ระยะเวลาในการออกกำบังกายยาวนานโดยเรียนรู้ระดับความเหน็ดเหนื่อยที่เหมาะสมด้วยตัวเอง เช่น หากไม่สามารถพูดคุยโต้ตอบกันได้ในขณะออกกำลังกาย แสดงว่าการออกกำลังกายนั้นหนักเกินไป ซึ่งไม่สามารถออกกำลังกายได้นาน สำหรับผู้ที่ยังไม่คุ้นเคยกับการออกกำลังกาย ควรเริ่มการออกกำลังกายโดยใช้เวลาไม่นานนัก ประมาณ 5-10 นาที วันละ 2-3 ครั้ง เมื่อคุ้นเคยหรือมีสมรรถภาพร่างกายดีแล้ว จึงปรับเวลาให้การออกกำลังกายเพิ่มขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งสามารถออกกำลังกายได้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 30-45 นาที หรือนานกว่าประมาณ 4-6 ครั้งต่อสัปดาห์

3. ความหนักในการออกกำลังกาย (Intensity) ควรออกกำลังกานให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของตัวเอง ไม่ควรทำหรือล้อเลียนแบบผู้อื่น เพราะการออกกำลังกายที่ดูว่าเบาสำหรับคนอื่น อาจจะกลาเป็นหนักสำหรับเรา จึงควรเลื่อนกระดับความหนักให้เหมาะสมกับตนเอง ด้วยการคำนวณจากอัตราเต้นชีพจรสูงสุดดังนี้

ตัวอย่าง นาย ก อายุ 40 ปี ต้องการออกกำลังกายที่ระดับความน้ำหนัก 60-70 % ของอัตราการเต้นชีพจรสูงสุดนาย ก. ควรออกกำลังกายให้เหนื่อยที่ระดับหัวใจเต้นที่ครั้งต่อนาที มีวิธีคำนวณดังนี้
อัตราการเต้นชีพจรสูงสุดของนาย ก. = 220 – อายุ นาย อ. = 220 -40 = 180 ครั้งต่อนาที
การออกกำลังกายที่ระดับความหนัก 60 % = 180 x 0.60 = 108 ครั้งต่อนาทีการออกกำลังกายที่ระดับความหนัก 70 % = 180 x 0.70 = 126 ครั้งต่อนาที

ดังนั้น การออกกำลังกายของ นาย ก. ควรให้เหนื่อยที่ระดับหัวใจเต้นประมาณ 108-126 ครั้งต่อนาที ซึ่งเป็นความหนักที่ระดับ 60 – 70 % ของอัตราการเต้นชีพจรสูงสุดของ นาย ก. โดยร่างกายจะดึงไขมันออกมาใช้เป็นพลังงานในการเคลื่อนไหวคณะออกกำลังกาย

4. ความบ่อยครั้งในการออกกำลังกาย (Frequency) ผู้ออกกำลังกายที่ต้องการลดน้ำหนักเร็ว พึงระลึกไว้เสมอว่า การออกกำลังกายแบบแอโรบิก หรือแบบใช้ออกซิเจนเป็นพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นการเดิน วิ่ง ขี่จักรยาน หรือเต้นแอโรบิก ฯลฯ ยิ่งทำได้นานและบ่อยครั้งมากเท่าใด ยิ่งช่วยเผาผลาญและลดไขมันในร่ายกายได้มากขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ควรมีวันพักหรือหยุดออกกำลังกาย อย่างน้อย 1 ครั้งต่อสัปดาห์และออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ หรืออย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์

หลักสำคัญของการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก

1. ควรให้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ทั่วร่างกายได้เคลื่อนไหวหรือออกแรงอย่างต่อเนื่อง หรือเป็นช่วย ๆ อย่างน้อย 15 – 30 นาที จะทำให้เผาผลาญพลังงานได้มากขึ้น
2. ต้องให้เกิดความรู้สึกเหนื่อย โดยให้หัวใจเต้นประมาณ 120-140 ครั้งต่อนี้ หรือประมาณ 60-70 % ของอัตราการเต้นหัวใจ
3. ต้องออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ หรืออย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์
4. ควรเลือกกิจกรรมการออกกำลังกายหลากหลายรูปแบบ โดยให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของตนเองและสอดคล้องวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์และการทรงตัวที่ดี
5. ควรอบอุ่นร่างกายและยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ก่อนและหลังการออกกำลังกายทุกครั้ง
6. ไม่ควรงดอาหาร แต่ควรปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารให้ถูกต้องได้สัดส่วนเหมาะสม
7. ควรงดอาหารออกกำลังกายเมื่อมีอาการเจ็บป่วยไม่สบายหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ นอกจากนี้ ควรเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวไหล่ หลังส่วนนอก อก ต้นแขน หน้าท้อง หลังส่วนล่าง ต้นขา และสะโพก ให้แข็งแรง ซึ่งจะมีผลต่อการเคลื่อนไหวและรูปร่างทรวดทรงที่กระชับได้สัดส่วนสวยงาม เป็นการสร้างเสน่ห์เพิ่มบุคลิกที่ดีให้กับตนเอง

สำหรับสาวๆ ที่สนใจอยากทดลองออกกำลังกายด้วยกีฬาน้องใหม่มาแรง ที่ให้ทั้งสุขภาพกายแลสุขภาพจิตที่ดี ช่วยลดน้ำหนัก และสร้างรูปร่างที่สง่างาม อย่างโยคะฟลาย และพิลาทิส เรียนชกมวย เรียนเต้นหลากหลายรูปแบบ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวการสอน ราคา และตารางการเรียนได้ที่ http://www.sanooklife.com

ที่มา angleagel.blogspot.com

Tuesday, September 23, 2014

ไม่ต้องคุมอาหารแค่ต่อยก็อยู่หมัด



ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ยังวนเวียนอยู่ในวัฏจักรการลดความอ้วนแบบเดิมๆ  “ด้วยการอดอาหาร กิน เครียด ออกกำลังกาย กิน น้ำหนักลดและให้รางวัลตัวเองด้วยการกินฉลองความสำเร็จแล้วล่ะก็?” คุณต้องเพิ่มตัวช่วยแล้วล่ะค่ะ

ผู้หญิงอย่างเรายิ่งอายุมากขึ้น รูปร่างยิ่งขยายใหญ่ขึ้น ความคล่องตัวก็ลดลง สุขภาพย่ำแย่ หน่ำซ้ำความเครียดจากการงานและผู้คนรอบข้างก็ยังทำให้คุณอยากกินเยอะๆ เข้าไปอีก สาวๆ หลายคนลดความอ้วนมาหลายรอบ หลายวิธี แถมยังสรรหากีฬาทุกอย่างเล่นไม่ว่าจะ ‘ว่ายน้ำ ตีแบดฯ เทนนิส โยคะ เดินๆๆ วิ่งตามสวนสาธารณะ เต้นแอโรบิก ฟิตเนส เข้าคอร์สสลายไขมัน’ เหล่านี้คือพฤติกรรมที่สาวๆ พยายามอย่างมาก แต่ผลตอบแทนที่ได้รับ...ก็คือการสะกิดไขมันทิ้งไปเพียงน้อยนิด

สาว WH คนหนึ่ง ซึ่งมีความสุขกับน้ำหนักที่ลดลงถึงได้ถึง 18 กิโลกรัมภายใน 5 เดือน (และเปลี่ยนไปใช้เสื้อผ้าที่เล็กลงถึง 2 ไซด์) จากกีฬาต่อยมวยได้บอกต่อเคล็ดลับที่อาจช่วยเปลี่ยนหุ่นคุณให้ฟิตได้ทันใจ “ลองหันกลับไปมองสิ่งที่คุณไม่ชอบดูสิคะ อะไรที่ไม่เคยคิดจะลอง เพราะคิดว่าไม่เหมาะกับตัวเอง...อาจกลายเป็นตัวตนที่แท้จริงของคุณก็ได้” ‘หลังจากเคยลองทุกสิ่งทุกอย่างมา 10 ปี น้ำหนักไม่ลง แต่พอต่อยมวยสองสัปดาห์แรกน้ำหนักลดไป 3 กิโลกรัม ครบหนึ่งเดือนลดอีก 6 กิโลกรัม, 2 เดือนต่อมาลงไป 11 กิโลกรัม รวมๆ แล้วเล่นมา 5 เดือน น้ำหนักหายไป 18 กิโลกรัม ‘ทั้งที่กินเหมือนเดิม อาหารแทบไม่ได้คุม ทั้งข้าวเหนียวหมูปิ้ง สเต็ก ข้าวเช้า กลางวัน เย็น หลังต่อยมวยเสร็จก็ยังกินอยู่ แค่ไม่กินแป้งแต่ไม่ได้ใช้ตัวช่วยอื่นๆ เลย ต่อยมวยอย่างเดียว’ โดยวันทำงานเล่นประมาณครึ่งชั่วโมง แต่เสาร์-อาทิตย์จัดเต็มบ่ายสามถึงหนึ่งทุ่ม

‘การต่อยม่วยสนุกมาก เวลาต่อยจะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับครูฝึก ไม่เหมือนฟิตเนสที่วิ่งบนลู่คนเดียว’ (แก้ว-สุธรีรัตน์ เกษพาณิช) จึงเป็นแรงกระตุ้นที่ทำให้คุณมีความอึดมากขึ้น การชกมวย 1 ชั่วโมงช่วยคุณเผาผลาญได้ประมาณ 800 แคลอรี สามารถเปลี่ยนต้นขาใหญ่ เซลลูไลต์เยอะ ให้กลายเป็นกล้ามเนื้อฟิตๆ เรียวงาม แถมยังทำให้ระบบหายใจดีขึ้น เหงื่อออกเยอะ ผิวใส สดชื่นกระปรี้กระเปร่า ‘ลองมองหาสิ่งที่คุณชอบ เพื่อจะได้ทำได้บ่อยๆ ดูนะคะ’ แล้วคุณจะเป็นนิยามใหม่ของผู้หญิงเฮลตี้และมีความสุขกับตัวเองมากขึ้น Women’s Health, May 2014 - (womenshealththailand.com)

สำหรับสาวๆ ที่สนใจคอร์สเรียนมวยไทยเพื่อลดน้ำหนัก และสร้างรูปร่างกระชับ เรามีคอร์สเรียนมวยไทยราคาสุดคุ้มมานำเสนอคะ เรียนมวยไทย 10 คลาส (แบบตัวต่อตัว) ราคาเพียงแค่ 4,655 บาท จากปกติราคา 4,900 บาท เรียนกับเทรนเนอร์แบบตัวต่อตัว 1 ชั่วโมง ในหนึ่งคลาส

เปิดบริการ

วันจันทร์ – ศุกร์: 10.00 น. – 12.00 น. และ 14.00 น. – 22.00 น.
วันเสาร์ - อาทิตย์: 8.00 น. – 12.00 น. และ 14.00 น. – 22.00 น.

โรงเรียนได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการ มีอาหารและเครื่องดื่มจำหน่าย มีห้องอาบน้ำไว้บริการและอื่นๆ อีกมากมาย

สถานที่เรียน: 

สาขา 1 ซอยสุขุมวิท 39 จาก BTS พร้อมพงษ์ ลงทางออกที่ 3 เดินประมาณ 300 เมตร มีที่จอดรถฟรี)
สาขา 2 ที่ โรงแรมตวันนา อาคารสุริยวงศ์ ชั้น 9 ถนนสีลม ใกล้กับ BTS ศาลาแดง  มีที่จอดรถบริการฟรี)

สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่หมายเลข 08 1660 0864 หรือ http://www.sanooklife.com/collections/learn-muay-thai-bangkok

Monday, September 15, 2014

โยคะกับการลดน้ำหนัก


ปัจจุบันการเล่นโยคะเป็นการออกกำลังกายเทรนด์ใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมไม่ว่าจะเป็นเหล่าดารา นักแสดง รวมถึงสาวออฟฟิศ ต่างให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งการเล่นโยคะ  จะช่วยในการเสริมสร้างบุคลิกภาพ, รู้จักการหายใจอย่างถูกวิธี, ช่วยเพิ่มสมาธิ, ร่างกายมีความยืดหยุ่นมากขึ้น และช่วยลดความเครียด นอกจากนี้ยังช่วยให้หุ่นของสาวๆ ฟิตแอนด์เฟิร์ม อีกด้วย

โยคะลดน้ำหนักได้จริงหรือ? โยคะเป็นท่าออกกำลังกายลดน้ำหนักที่ฝึกเน้นเรื่องการหายใจร่วมกับท่าต่างๆ ที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของ เนื้อเยื่อรอบๆข้อต่อต่างๆ ของร่างกายทั้งแขนขา และ ลำตัว ซึ่งเป็นผลให้การเคลื่อนไหวของข้อต่อเพิ่ม มากขึ้นได้และถ้าทำได้ถูกต้องร่วมกับการหายใจจะเป็น การช่วยทำให้ฝึกสมาธิได้เป็นอย่างดี

เนื่องจากการเคลื่อนไหวของท่าโยคะ เป็นการ เคลื่อนไหวแบบเบาๆ ถ้าเทียบกับการออกกำลังกายลดน้ำหนักอื่นๆ บางชนิด เช่น เทนนิส บาสเกตบอล เต้นรำ เต้นแอโรบิค เป็นต้น อัตราการเผาผลาญจึงไม่มากนัก พลังงานส่วน ใหญ่มาจากการสลายน้ำตาลในเลือดและตับ แต่เนื่อง จากการเคลื่อนไหวของโยคะต่อเนื่องและเป็นเวลานาน ดังนั้นจะมีการสลายไขมันนำมาใช้เป็นพลังงานบ้างใน ช่วงท้ายๆของท่าต่างๆ

โยคะที่สาวๆ มักนิยมเล่นกันมีอะไรบ้าง?

โยคะร้อน นิยมฝึกกันในห้องอุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส นาน 45 นาที ความต่างของโยคะธรรมดากับโยคะร้อนนี่ ที่เห็นกันชัดๆ คือเรื่องของการยืด เหยียด บิด โยคะร้อนจะช่วยได้ดีกว่า เนื่องจากร่างกายพออยู่ในอุณภูมิที่สูงขึ้น จะยืด เหยียดอะไรก็ง่ายกว่ามาก สำหรับคนเล่นใหม่ๆ แนะนำให้เล่นโยคะร้อนก่อน เพื่อปรับสมดุลของท่า ปกติโยคะร้อนจะเล่น 90 นาที เผาผลาญได้ถึง 500-600 แคลอรี่ (โยคะธรรมดาเผาผลาญได้ 300 แคลอรี่) และช่วยเรื่องผิวพรรณ กระชับสัดส่วน ดูอ่อนเยาว์

โยคะฟลาย มาแรงมากในหมู่ดารา ประโยชน์ของโยคะฟลาย ก็ไม่ต่างจากการเล่นโยคะทั่วไป หรือการออกกำลังกายชนิดอื่นๆ คือเป็นการออกกำลังกายชนิดหนึ่ง ที่เน้นการยืดเหยียดของกล้ามเนื้อกระดูก และเสริมสร้างความสมบูรณ์ให้กับกล้ามเนื้อ

อุปกรณ์สำคัญในการเล่น โยคะฟลาย คือ ผ้า Hommog ที่ทำจากวัสดุพิเศษ ที่มีความนุ่มและหยืดหยุ่นได้ดี สามารถรับน้ำหนักได้ถึง 1000 กิโลกรัมเลยทีเดียว ผ้า Hommog นี้เวลาเล่นก็ต้องแขวนบนเพดานอย่างแน่นหนา เพื่อที่เวลาบินขึ้นไปแล้วจะไม่ร่วงลงมาสู่พื้นนั่นเอง

จะเห็นได้ว่าโยคะแต่ละท่ามีผลต่อร่างกายแตกต่างกันไป การฝึกโยคะบางท่ามีผลช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อบางท่าช่วยบำบัดรักษาโรค นอกจากนี้การฝึกโยคะยังให้ประโยชน์อีกมากต่อสุขภาพจิตเป็นการออกกำลังกายลดน้ำหนักที่ดี และประสิทธิภาพในการทำงานของสมองด้วย ซึ่งแน่นอนว่าผลดีทั้งปวงที่ร่างกายซึ่งทั้งนี้ต้องมีการฝึกปฏิบัติเป็นประจำเท่านั้นจึงจึะได้ผลดี

สำหรับสาวๆ ที่สนใจอยากทดลองออกกำลังกายด้วยกีฬาน้องใหม่มาแรง ที่ให้ทั้งสุขภาพกายแลสุขภาพจิตที่ดี อย่างโยคะฟลาย และพิลาทิส เรียนชกมวย เรียนเต้นหลากหลายรูปแบบ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวการสอน ราคา และตารางการเรียนได้ที่ http://www.sanooklife.com

เรียน โยคะฟลาย (Yoga Fly ) Beginner 10 คลาส จากปกติราคา 4,900 บาท พิเศษลงทะเบียน Online ผ่านหน้าเว็บไซต์ sanOOklife รับสิทธิชำระเงิน ในราคาเพียง 4,655 บาท

ที่มา www.thaifitandfirm.com

วิธีเอาชนะความเบื่อหน่ายจากการเล่นฟิตเนส


สำหรับคนที่รู้สึกเบื่อหน่าย หมดกำลังใจ ท้อแท้ และไม่อยากเล่นฟิตเนส หรือออกำลังกาย วันนี้เรามีเคล็ดลับดีๆ วิธีเอาชนะความเบื่อหน่ายมาฝากกันคะ

ประเมินตัวเอง ให้ประเมินกิจวัตรการออกกำลังกายของคุณในขณะนี้เสียก่อน เพื่อชี้ชัดให้ได้ว่าอะไรที่ทำให้คุณเบื่อการออกำลังกายแล้ว ลองหันไปเพิ่มความหลากหลายใหม่ๆ ให้กิจกรรมที่คุณโปรดปราน เช่น หันมาเล่น Kick Boxing แทนการเต้นแอโรบิก หรือเล่นฟรีเวต แทนเครื่อง สิ่งเหล่านี้อาจช่วยให้กิจวัตรเดิมๆ มีชีวิตชีวาขึ้น หรือถ้าคุณเคยออกกำลังแต่ในฟิตเนส ก็ลองไปออกกำลังตามสวนสาธารณะบ้างเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ

เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ถ้าหากการเปลี่ยนแปลงกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ยังไม่เพียงพอ ก็ต้องเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ เริ่มต้นทำกิจกรรมใหม่ๆ โดยเฉพาะในสิ่งที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะลองทำ เช่น ถ้าคุณเคยชินอยู่กับการเล่นกีฬาคนเดียว ลองหันมาเล่นกีฬาแบบทีมดูบ้าง หรือพยายามทำสิ่งที่คุณไม่ชอบมาโดยตลอด เช่น การเล่นกีฬาแอดเวนเจอร์ อย่าง ขี่จักรยานเสือภูเขา การปีนหน้าผา ฯลฯ

หาเพื่อนออกกำลังกาย การออกกำลังกายคนเดียวก็เหมือนกับการได้พักผ่อนจากวันที่ยุ่งเหยิง แต่บางทีการออกกำลังกายก็ต้องการเพื่อนที่จะช่วยให้คุณได้สังสรรค์ไปในตัว ซึ่งการชวนเพื่อนไปออกกำลังกายด้วยกัน จะทำให้คุณไม่อยากงดออกกำลังกาย เนื่องจากมีคนรออยู่ การมีคนมาออกกำลังกายด้วยยังหมายถึงการท้าทายให้คุณพัฒนาทักษะการออกกำลังกายให้ดีขึ้น

ตั้งเป้าหมายที่ท้าทายตัวเอง หลายคนตั้งใจออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง แต่การตั้งเป้าหมายบางอย่างเช่น การร่วมวิ่งแข่งมาราธอน หรือการแข่งว่ายน้ำ จะทำให้การออกกำลังกายของคุณในแต่ละวันมีความหมายขึ้น

เพิ่มความหลากหลาย การออกกำลังกายหลายๆ อย่างสลับไปมา เป็นอีกวิธีหนึ่งในการแก้เบื่อการออกกำลังกายได้ดี ถ้าปกติคุณออกำลังกายแค่อย่างเดียว ก็ลองสลับด้วยกิจกรรมอื่นๆ สัก 2-3 วัน ในหนึ่งสัปดาห์ โดยควรให้โปรแกรมการออกกำลังกายของคุณครบถ้วน ทั้งการออกกำลังบริหารหัวใจ การฝึกความแข็งแรง และการยืดกล้ามเนื้อของร่างกาย

ของเล่นใหม่ๆ อุปกรณ์ในการออกกำลังกายเล็กๆ น้อยๆ อาจจะไม่ใช่ของจำเป็น แต่มันอาจช่วยให้การออกกำลังกายของคุณสนุกและเพลิดเพลินขึ้น

หยุดพัก บางครั้งคุณจะต้องการเวลาพักสักหน่อย ในกรณีนี้ลองลดกิจวัตรการออกกำลังกายของคุณลงบ้างและแทนที่ด้วยกิจกรรมอื่น คุณอาจพบสิ่งที่คุณสนุกกับมันได้มากกว่าเรื่องเดิมๆ ที่เคยโปรดปราน

ลองทำดูนะคะสาวๆ สู้ๆ คะ เพื่อสุขภาพกายและใจที่แข็งแรงสมบูรณ์ สำหรับสาวๆ ที่สนใจอยากทดลองออกกำลังกายด้วยกีฬาน้องใหม่มาแรง ที่ให้ทั้งสุขภาพกายแลสุขภาพจิตที่ดี อย่างโยคะฟลาย และพิลาทิส เรียนชกมวย เรียนเต้นหลากหลายรูปแบบ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวการสอน ราคา และตารางการเรียนได้ที่ http://www.sanooklife.com

ที่มา fitnessdd.com

Sunday, September 7, 2014

ผอมสวย ด้วยกีฬาง่ายๆ แค่วันละ 30 นาที


การหักโหมจนเกินไปในการออกกำลังกาย อาจทำให้ร่างกายเกิดอาการบาดเจ็บได้ง่าย ดังนั้นการออกกำลังกายที่ดีควรออกกำลังกายให้เหมาะสมกับร่างกายมากที่สุด        การหักโหมออกกำลังกายนอกจากจะไม่ช่วยให้คุณผอมลงแล้ว ยังทำให้คุณได้รับบาดเจ็บจากการออกกำลังกายที่มากจนเกินไปด้วย ดังนั้น การออกกำลังกายที่พอดีกับตัวเองย่อมเป็นผลดีต่อคุณสาวๆแน่นอน ลองหันมาออกกำลังกายเพียง 30 นาที ต่อวันก็ช่วยให้คุณเผาผลาญพลังงานไปได้เยอะแล้วล่ะ




30 นาที เบิร์น 425 แคลอรี่      การเล่นโรลเลอร์เบลด จะช่วยขจัดแคลอรี่ของคุณออกไปได้อย่างรวดเร็ว เพราะต้นขาและสะโพกของคุณจะต้องเคลื่อนที่ตลอดเวลาที่คุณยืนอยู่บนรองเท้าติดล้อ นอกจากนี้คุณยังต้องพยายามทรงตัวร่างกายให้อยู่ในความสมดุลอีกด้วย อ้อ...ถ้าจะเล่นโรลเลอร์เบลดเมื่อไหร่ อย่าลืมหาสนับเข่า สนับศอก และหมวกกันน็อกป้องกันตัวเองด้วยล่ะ



30 นาที เบิร์น 374 แคลอรี่      การวิ่ง สังเกตไหมว่านักวิ่งทั้งหลายมักจะมีรูปร่างผอมบาง นั่นแหละคือผลลัพธ์จากการวิ่ง เพราะขณะวิ่งจะต้องใช้กล้ามเนื้อร่างกาย สะโพก และขาเป็นอย่างมาก ทำให้กล้ามเนื้อส่วนนี้ถูกเผาผลาญเสียเยอะข้อแนะนำคือ ขณะออกวิ่งขอให้คุณแกว่งแขนเป็นวงแคบ ๆ ให้ใกล้ตัวคุณเอง อย่าเอียงไปข้างหน้า อย่ายกเท้าให้สูงมาก พยายามยกเท้าให้อยู่ชิดกับพื้นมากที่สุด และวางน้ำหนักของเท้าให้ลงจุดกึ่งกลางของเท้าพอดี แล้วค่อยไล่ขึ้นไปถึงปลายนิ้ว      เคล็ดลับ : หากอยากเบิร์นแคลอรี่ได้มากขึ้น ควรออกกำลังกายทั้งช้าและเร็วสลับกันไป หรือลองวิ่งขึ้นไปบนเขาดูสิ



30 นาที เบิร์น 340 แคลอรี่      การกระโดดเชือก หากคุณเพิ่งเริ่มกระโดดเชือก 30 นาทีอาจจะหนักเกินไป ลองกระโดดช้า ๆ สัก 15 นาทีก่อน เมื่อชินแล้วค่อยขยับขึ้นไปเป็น 20-30 นาที ที่สำคัญจำไว้ว่า ไม่จำเป็นต้องกระโดดให้สูงมากเพราะยิ่งกระโดดสูง แรงกระแทกสู่พื้นจะยิ่งมาก อาจทำให้เข่าได้รับบาดเจ็บได้ ดังนั้น กระโดดต่ำ ๆ ให้เชือกพอลอดผ่านได้จะดีกว่า แต่ถ้ากระโดดเก่งแล้ว อยากเบิร์นแคลอรี่ได้มากขึ้น  ลองกระโดดเชือกแบบเร็ว ๆ ช้า ๆ สลับกัน หรืออาจจะกระโดดเชือกขาเดียวสลับกับสองขาดูก็ได้ แต่ถ้าใครมีความสามารถวิ่งไปด้วยกระโดดเชือกไปด้วย งานนี้แคลอรี่หายไปอีกโขเลยล่ะ



30 นาที เบิร์น 300 แคลอรี่      เล่นฮูลาฮูป รู้ไหมว่านักร้องสาวชื่อดัง "บียอนเซ่" ก็นิยมเล่นฮูลาฮุปเพื่อรักษาเชฟเช่นกัน ฉะนั้น คุณก็ทำเองได้ง่าย ๆ เพียงแค่หยิบห่วงฮูลาฮุปสำหรับผู้ใหญ่ ที่มีน้ำหนักและความแข็งแรงมากกว่าห่วงอันเล็ก ๆ ขึ้นมาแล้วหมุนไปรอบเอว จากเดิมที่ยืนหมุนอยู่กับที่ก็ให้เคลื่อนไปข้างหน้า ทุกครั้งที่ฮูลาฮุปหมุนจะช่วยขจัดแคลอรี่ให้คุณ      เคล็ดลับ : วิธีตรวจสอบว่าฮูลาฮุปของคุณเหมาะกับรูปร่างของตัวเองหรือไม่ เพียงแค่วางฮูลาฮุปให้ตั้งขึ้นข้างหน้าคุณ หากห่วงสูงถึงหน้าอก ก็แสดงว่า ฮูลาฮุปวงนั้นเหมาะกับคุณแล้ว



30 นาที เบิร์น 272 แคลอรี่    เล่นเทนนิส  ไม่จำเป็นต้องชวนเพื่อน หรือเดินทางไปยังคอร์ตเทนนิสคุณก็สามารถเล่นเทนนิสได้ง่าย ๆ เพียงคนเดียว เพียงแค่หาลานโล่ง ๆ ที่มีกำแพง คุณก็สามารถตีลูกเทนนิสโต้ตอบกับมันได้อย่างสนุกสนาน แถมยังเรียกเหงื่อได้ตั้งเยอะ       เริ่มต้นจากให้ยืนห่างจากกำแพงประมาณ 10-25 ฟุต ซึ่งระยะนี้จะทำให้แรงส่งของลูกเทนนิสกระเด้งกลับมาหาได้หนักหน่วงที่จะทำให้คุณออกแรงได้มากพอ จากนั้นคุณก็เสิร์ฟลูกแล้วสนุกกับการเผาผลาญแคลอรี่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นโฟรแฮนด์ แบ็กแฮนด์ วิ่งไปรับลูก หรือแม้กระทั่งวิ่งไปเก็บลูกที่ตีพลาด ล้วนแต่ช่วยออกกำลังกายทั้งนั้น       เคล็ดลับ : พยายามตีบอลให้ได้ต่อเนื่องกัน 50-100 ครั้ง เพราะการที่คุณตั้งเป้าหมายไว้จะทำให้คุณยิ่งพยายามมากขึ้นเพื่อจะไปได้ถึงเป้าหมายนั้น



30 นาที เบิร์น 221 แคลอรี่       ลุกขึ้นเต้น นี่เป็นวิธีเผาผลาญไขมันที่สนุกอีกวิธีหนึ่ง ลองเลือกเพลงเร็ว ๆ อย่างจังหวะลาติน หรือบอลลีวู้ดมาโยกย้ายส่ายสะโพกตามเพลงดู แต่ห้ามนั่งพักระหว่างเพลงเด็ดขาด แล้วเลือกเพลงที่ค่อยๆเพิ่มความเร็วขึ้น ก่อนจะปิดท้ายด้วยเพลงที่มีจังหวะซอฟท์ลง เพื่อให้เกิดความผ่อนคลาย       เคล็ดลับ : ระหว่างที่เต้นให้ยกแขนขึ้นโบกไปตามเสียงเพลงด้วย จะช่วยให้คุณเผาผลาญไขมันได้มากขึ้น



30 นาที เบิร์น 170 แคลอรี่       เดินเร็วๆ การเดินทอดน่องคุยกับเพื่อนไม่ได้ช่วยให้คุณลดแคลอรี่ได้ แต่การเดินเร็ว ๆ อย่างกระฉับกระเฉงต่างหากที่จะช่วยเผาผลาญแคลอรี่จากกล้ามเนื้อขา และสะโพก ได้เป็นอย่างดี เริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยการยืดตัวให้ตรง ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและก้าวยาว ๆ แกว่งมือทั้งสองไปข้างหน้าข้างหลังตามจังหวะ

ออกกำลังกายวันละนิด จิตแจ่มใสนะคะ สำหรับสาวๆ ที่สนใจอยากทดลองออกกำลังกายด้วยกีฬาน้องใหม่มาแรง ที่ให้ทั้งสุขภาพกายแลสุขภาพจิตที่ดี อย่างโยคะฟลาย และพิลาทิส เรียนชกมวย เรียนเต้นหลากหลายรูปแบบ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวการสอน ราคา และตารางการเรียนได้ที่ http://www.sanooklife.com


ที่มา guru.sanook.com


Wednesday, September 3, 2014

เรื่องจริงของการออกกำลังกายที่ควรรู้



ในเรื่องของการออกกำลังกาย ยังมีคำถามมากมายที่เป็นข้อสงสัย บางคำถามมีคำตอบที่ชัดเจน แต่บางคำถามอาจมีคำตอบไม่ชัดเจนแค่อาศัยคำพูดต่อ ๆ กันมา แล้วคำตอบไหนที่เราสามารถเชื่อถือหรือนำไปปฏิบัติได้จริงบ้าง เพราะถ้าเราได้คำตอบที่ถูกต้องจะทำให้การออกกำลังกายของเราได้ผลตามต้องการอย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญปลอดภัยและสามารถลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บได้เป็นอย่างดี มีตัวอย่างข้อสงสัยที่มักได้ยินบ่อย ๆ มาไขข้อข้องใจให้หายสงสัยกันดังนี้

ความเชื่อ :การออกกำลังกายที่ดีที่สุดควรทำในตอนเช้า

ความจริง : จากการศึกษาพบว่าการออกกำลังกายสามารถทำในช่วงไหนของวันก็ได้ จะได้ผลที่ไม่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับว่าคุณสะดวกและมีช่วงว่างเวลาไหนที่สามารถออกกำลังกายได้ ขอให้มีการออกกำลังกายรวมแล้วอย่างน้อยประมาณ 30 นาทีในแต่ละวันก็สามารถช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ลงได้


ความเชื่อ : ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิคเพื่อลดไขมันก่อน ก่อนที่จะยกเวทเพื่อกระชับกล้ามเนื้อต่อไป

ความจริง : ผลการวิจัยบ่งชี้ให้เห็นว่า การออกกำลังกายที่เหมาะสม ควรประกอบด้วยการยกน้ำหนักร่วมกับการออกกำลังกายแบบแอโรบิคไปพร้อมๆ กัน โดยการยกน้ำหนัก หรือ weight training จะมีผลช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรง กระชับได้สัดส่วนที่สวยงาม นอกจากนี้ผลจากการยกน้ำหนักอีกอย่างหนึ่ง คือ เมื่อร่างกายแข็งแรงและมีมวลกล้ามเนื้อเพิ่มมากขึ้นจะยิ่งทำให้มีการเผาผลาญแคลอรีมากขึ้นแม้ในขณะพัก ซึ่งสังเกตได้จากคนที่ต้องการออกกำลังกายเพื่อลดไขมันหรือลดน้ำหนักตัวลงโดยการฝึกแบบแอโรบิคเพียงอย่างเดียว เมื่อหยุดออกกำลังกายไปสักพักน้ำหนักตัวจะกลับขึ้นมาเหมือนเดิม หรือบางคนอาจจะมากกว่าเดิมอย่างรวดเร็ว เมื่อเริ่มออกกำลังกายใหม่น้ำหนักตัวก็จะลง แต่เมื่อหยุดมันก็จะกลับขึ้นมาอีก น้ำหนักขึ้น-ลงสลับกันไปหรือที่เรียกว่า Yo-yo effect เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่ออกกำลังกายแบบยกน้ำหนักร่วมกับแบบแอโรบิคแล้ว น้ำหนักตัวจะไม่เปลี่ยนแปลงกลับขึ้นมาเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว ซึ่งการออกกำลังกายแบบแอโรบิคจะช่วยในการเผาผลาญพลังงานหรือแคลอรีส่วนเกินออกไปขณะออกกำลังกายเป็นหลัก นอกจากนี้ยังช่วยให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค เช่น ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และมะเร็งบางชนิด เป็นต้น


ความเชื่อ : ผู้หญิงมักกลัวการออกกำลังกายแบบ weight training เพราะทำให้กล้ามเนื้อมีขนาดใหญ่ขึ้นไม่สวยงาม

ความจริง : ฮอร์โมนเพศมีผลอย่างมากในประเด็นนี้ โดยผู้ชายมีปริมาณฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (testosterone) มากกว่าผู้หญิง ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการสังเคราะห์โปรตีน เมื่อผู้ชายออกกำลังกายแบบ weight training อย่างหนัก ฮอร์โมนตัวนี้จะทำหน้าที่สังเคราะห์โปรตีนและสร้างกล้ามเนื้อให้มีขนาดใหญ่ขึ้นมา แต่ในผู้หญิงจะมีปริมาณฮอร์โมนนี้ค่อนข้างน้อย โดยจะมีปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจน (estrogen) มากกว่า ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่แสดงถึงความเป็นผู้หญิง ไม่ได้ทำหน้าที่สังเคราะห์โปรตีนสร้างกล้ามเนื้อแบบเดียวกับฮอร์โมนเพศชาย

จากการศึกษาพบว่าผู้หญิงที่มีระดับฮอร์โมนเพศปกติจะต้องออกกำลังกายแบบ weight training อย่างน้อย 4?6 ชั่วโมงต่อวันถึงจะมีขนาดกล้ามเนื้อที่ใหญ่ขึ้นมาเหมือนคนเล่นกล้าม ซึ่งสำหรับคนทั่วไปก็ยากที่จะออกกำลังกายติดต่อกันได้นานถึงขนาดนั้น แต่ข้อดีสำหรับผู้หญิงที่ออกกำลังกายแบบนี้จะช่วยกระชับสัดส่วนรูปร่างให้สวยงาม นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญของร่างกาย (metabolism)ในการควบคุมน้ำหนัก และเพิ่มความแข็งแรงของกระดูกป้องกันการเกิดภาวะกระดูกพรุนที่ผู้หญิงมีความเสี่ยงสูง


ความเชื่อ : การออกกำลังกายแบบแอโรบิคเพื่อเผาผลาญไขมันควรใช้เวลามากๆ แต่ใช้ความหนักระดับต่ำๆ จึงจะดี

ความจริง : การออกกำลังกายแบบแอโรบิคนั้นร่างกายจะใช้พลังงานทั้งจากคาร์โบไฮเดรต (ในรูปของกลูโคสและไกลโคเจนที่สะสมอยู่ในเลือด ตับ และกล้ามเนื้อตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย) และไขมันเป็นหลัก โดยการออกกำลังกายแต่ละครั้งจะใช้พลังงานมากน้อยเพียงใดให้ดูได้จากจำนวนของแคลอรีที่เผาผลาญออกไป ในคนที่ออกกำลังกายเบาๆ แต่นาน เช่น การเดิน 40-45 นาที อาจจะเผาผลาญพลังงานได้ประมาณ 200-350 แคลอรี เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่วิ่ง 30 นาที อาจเผาผลาญพลังงานที่ 250-300 แคลอรี ซึ่งต่างกันเพียงเล็กน้อย ดังนั้นอาจไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายเบาๆ แต่นานๆ เพียงอย่างเดียวในการเผาผลาญพลังงานออกไป เมื่อออกกำลังกายได้สักระยะหนึ่งก็จะมีความฟิตแข็งแรงมากขึ้น ดังนั้นการเพิ่มความหนักหรือระยะเวลาในการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานมากขึ้นตาม หรือถ้าคนที่ฟิตแข็งแรงดีอยู่แล้วสามารถออกกำลังกายในระดับความหนักที่สูงได้ ก็จะส่งผลให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานหรือแคลอรีโดยรวมมากขึ้น ไขมันที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายก็จะถูกใช้ไปได้เช่นเดียวกัน


ความเชื่อ : ในการออกกำลังกายแบบ weight training ถ้าต้องการให้กล้ามเนื้อมีขนาดใหญ่ขึ้นให้ยกช้าๆ แต่ถ้าไม่ต้องการให้กล้ามเนื้อมีขนาดใหญ่ควรยกเร็วๆ

ความจริง : ความจริงแล้วการยกน้ำหนักเพื่อให้กล้ามเนื้อใหญ่ขึ้นหรือกระชับขึ้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเร็วในการยก แต่จะขึ้นอยู่กับน้ำหนักที่เราออกแรงมากกว่า ตามคำแนะนำของ American College of Sports Medicine (ACSM) ซึ่งเป็นสถาบันที่แนะนำรูปแบบต่าง ๆ ของการออกกำลังกายที่ทั่วโลกยอมรับ ได้กำหนดไว้ว่าถ้าต้องการให้กล้ามเนื้อมีขนาดใหญ่ขึ้นควรใช้น้ำหนักที่สามารถออกแรงยกได้เพียง 1-6 ครั้งในแต่ละเซต หรือประมาณ 80-100% ของน้ำหนักที่สามารถยกได้สูงสุดเพียงหนึ่งครั้ง (1 Repetition Maximum หรือ 1 RM) แต่ถ้าต้องการให้กล้ามเนื้อกระชับแข็งแรงจะต้องใช้น้ำหนักที่สามารถออกแรงยกได้ประมาณ 12-15 ครั้งในแต่ละเซต หรือประมาณ 650-75% ของน้ำหนักสูงสุดที่สามารถออกแรงยกได้ใน 1 ครั้ง และความเร็วในการยกควรจะสอดคล้องกับจังหวะการหายใจเข้า-ออกมากกว่า โดยให้หายใจออกทางปากช้า ๆ ขณะออกแรงยก และหายใจเข้าทางจมูกขณะผ่อนแรงหรือปล่อยน้ำหนักลง อย่ากลั้นหายใจขณะที่ออกแรง เพราะจะทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นและเป็นอันตรายได้

นพท. ธีรพล หอมสุคนธ์
เรียบเรียงโดย นพ.ปณิธาน ประดับพงษา
วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า


ที่มา www.yaandyou.net

Monday, September 1, 2014

เทคนิคขั้นเทพ ลดน้ำหนักแบบดาราฮอลลีวูด



1. เจสซิก้า ซิมป์สัน 

สาวพลัสไซส์ที่เป็นตัวอย่างที่ดีถึงความจริงในการลดน้ำหนัก ซึ่งบางครั้งสิ่งสำคัญไม่ใช่การลด แต่เป็นการทำอย่างไร ให้น้ำหนักไม่กลับมา สาวเจ้าเนื้อที่กินนิดกินหน่อยก็อ้วนอาจลองใช้สูตร Be Slim

           B-Breakfast กุญแจสำคัญในการเริ่มต้นวันใหม่ จากการสำรวจของ National Weight Control Registry พบว่าคนที่ลดน้ำหนักได้นานนั้นจะกินอาหารเช้าทุกวัน

           E-Exercise จำเป็นอย่างมากต่อการรักษาน้ำหนักในระยะยาวและสุขภาพโดยรวมของคุณ

           S-Support กำลังใจจากคนรอบข้าง และความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ อย่างเช่น เทรนเนอร์ หรือแพทย์

           L-Low-Fat อาหารมื้อเล็ก ๆ ไขมันต่ำ 5-6 มื้อต่อวัน จะช่วยควบคุมความอยากอาหาร และป้องกันการสะสมไขมัน เพราะพลังงานในร่างกายของคุณคงที่มากกว่า

           I-Individual Plan หมายความว่า สูตรไดเอตเป็นของคุณโดยเฉพาะ ไม่ใช่สูตรที่ตามคนอื่น เพราะชีวิตของเราไม่เหมือนกัน หากคุณรีบเร่งทำงานทุกวัน คุณอาจจะเก็บผลไม้ไว้ใกล้ ๆ ตัวยามที่หิวนิดหน่อย เพื่อป้องกันไม่ให้หิวจัดมากเกินไป

           M-Monitoring จับตาดูน้ำหนักและรอบเอวเป็นรายสัปดาห์ หากพบว่าน้ำหนักกำลังจะขึ้น ก็ได้เวลาจัดการแล้วล่ะ




2. นิโคล ริชี่

สำหรับสาวไซส์เล็ก แทนที่จะมุ่งแต่ความผอม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ระดับ BMI ของคุณอยู่ระหว่าง 22-25 ไม่น้อยกว่านั้น อาจทำได้ด้วยการยกน้ำหนัก เพื่อที่จะเสริมสร้างกล้ามเนื้อไม่ให้มีแต่กระดูกกับเนื้อเหลว ๆ




3. ไทร่า แบงก์ส

สาวโครงใหญ่แต่เกิดซึ่งมีเทคนิคคือ การเลิกกินอาหารบางอย่างที่รู้ว่าไม่ดี (เช่น กินสลัด แต่กินกับหมูสามชั้น) การกินอาหารที่ดีนั้นเริ่มต้นที่การหลีกเลี่ยงไขมันสัตว์ และอาหารทอด แต่หันมากินเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ ซึ่งดีต่อสุขภาพและอิ่มมากกว่าด้วย




4. นิโคล คิดแมน

The South Beach Diet คล้ายกับ Atkins Diet ซึ่งเน้นที่การควบคุมปริมาณคาร์โบไฮเดรต จริงอยู่ที่ "คาร์โบไฮเดรตดี" ได้รับอนุญาต แต่คุณก็ต้องบอกลา มันฝรั่ง ผลไม้ ขนมปัง ซีเรียล พาสต้า ข้าวหัวบีต แครอท และข้าวโพดเป็นเวลากว่า 2 สัปดาห์

ใน 14 วันแรกของที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นกินไม่ได้ และคุณก็จะต้องไม่จิบเบียร์ ไวน์ หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยสามารถกินนมไขมันต่ำ โยเกิร์ตโลว์แฟตได้วันละ 2 หน่วยบริโภค ซึ่งจะทำให้คุณรู้สึกอยากคาร์โบไฮเดรตมาก ดังนั้น ต้องระวังให้ดี

ช่วงต่อมา คุณสามารถกินแป้งได้บางอย่าง เช่น แครอท ผลไม้ ห้ามกินข้าวขาว กินได้แต่ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท แต่จำกัดจำนวน กินไปเรื่อย ๆ จนกว่าคุณจะถึงน้ำหนักที่เป็นเป้าหมาย

ช่วงสุดท้าย คือการรักษาระดับน้ำหนักตลอดชีวิต พยายามหลีกเลี่ยงคาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการแปรรูป ของเหล่านี้จะทำให้คุณอยากกินแป้งมากขึ้นต่างหาก

อย่างไรก็ดี การไดเอตแบบนี้ในสัปดาห์แรก คุณจะลดน้ำหนักได้อย่างมาก และอาจสูญเสียอิเล็กโทรไลด์ในร่างกายได้ ดังนั้น ดื่มน้ำเยอะ ๆ เข้าไว้ ทางที่ดีหากสนใจการไดเอตชนิดนี้ ควรปรึกษาแพทย์




5. เจนนิเฟอร์ อนิสตัน

 The Zone Diet  เจ้า "โซน" ที่ว่านี้คือโซนซึ่งเรารู้สึกว่าเราสดใส กระปรี้กระเปร่า และมีสุขภาพดี สาวเจนทำตามสูตรไดเอตนี้ ซึ่งเชื่อว่าให้มากกว่าการลดน้ำหนัก เริ่มจากการกินโปรตีน 30% ไขมันไม่อิ่มตัว 30% และคาร์โบไฮเดรตเชิงช้อน 40% ที่จะช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญ พร้อมทั้งป้องกันโรค เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน สิ่งที่เขาพูดถูกก็คือ การไดเอตโดยไม่กินคาร์โบไฮเดรต หรือไขมันนั้นเป็นเรื่องที่ผิดเสียมาก ๆ และอาจจะเพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งเสียด้วยซ้ำ สิ่งที่คุณควรกิน (โดยไม่คำนึงถึงสัดส่วน 30-30-40) ก็คือ

           โปรตีนทุกมื้อ หมายถึง ในหนึ่งมื้อต้องมีโปรตีนไขมันต่ำขนาดประมาณฝ่ามือของคุณ รวมถึงมื้อว่างหลังเที่ยงและตอนเย็นควรกินไข่ขาวเท่านั้น

           คาร์โบไฮเดรต ขนาด 2 เท่าของโปรตีน ประเด็นอยู่ที่คาร์โบไฮเดรตควรมาจากพืช เช่น ถั่ว ข้าวกล้อง หรือผลไม้ชนิดอื่น ๆ รวมถึงน้ำผลไม้ทุกชนิด

           ไขมัน น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ซึ่งควรจะมาจากน้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนลา ถั่ว

           หลีกเลี่ยง ข้าวขาว ขนมปังขัดสี พาสต้า

และเธอยังเป็นคนที่รักการฝึกพิลาทีส อย่างเป็นชีวิตจิตใจอีกด้วย "I'm a PILATES person.It's great.I had hip problem.I had a chronic back,pinched nerves and a hip problem and it's a completely solved all of it.I love it.It's makes me feel like I'm taller"- Jennifer Anniston




6. ลีแอนน์ ไรมส์

ดาราสาวที่ลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังอย่างเดียว แต่การออกกำลังจะไม่ช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้หรอก หากไม่ลดแคลอรี่ สิ่งสำคัญคือการสลับหนักเบาเวลาออกกำลังด้วย




7. อแมนด้า ไซฟรีด

5 Factor Diet กลับไปสู่เรื่องที่เราเรียนตอนเด็ก ๆ คืออาหารแต่ละมื้อควรประกอบไปด้วยสารอาหารอย่างน้อย 5 หมวดหมู่ แต่สูตรนี้ต่างกันตรงที่ 5 หมวดหมู่นี้ได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ไฟเบอร์ ไขมัน และของเหลว พร้อมกันนี้ยังหมายถึง 5 มื้อเล็กๆ ต่อวัน โดยแต่ละมื้อใช้ส่วนผสมไม่เกิน 5 ประเภท ใช้เวลาเตรียมของไม่เกิน 5 นาที และปรุงไม่เกิน 5 นาที ทริกอยู่ที่การเลือกอาหาร ซึ่งมีดัชนีน้ำตาลต่ำ และลดปริมาณแคลอรี่ที่กินต่อวันลงเสีย 30%

นอกจากการกินแล้วยังประกอบไปด้วยการออกกำลัง 5 วัน/สัปดาห์ ซึ่งทำกายบริหารได้ครั้งละ 5 ท่า ท่าละ 5 นาที ซึ่งอาจจะสลับกับวันที่คุณออกกำลังแบบคาร์ดิโอ และมีโบนัสพิเศษคือ คุณจะทำอะไรก็ได้ 1 วัน/สัปดาห์ ข้อเสียก็คือ คุณอาจจะไม่เห็นผลเร็วนัก แต่ทำได้ตลอดชีวิต

แม้ปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาช่วยในการลดน้ำหนักอย่างมากมาย แต่เชื่อเถอะว่า ไม่มีวิธีไหนที่จะประหยัด ปลอดภัย ได้ผลและยั่งยืนเท่ากับการออกกำลังกายอีกแล้วคะ

สาวๆ สามารถเลือกออกกำลังกายง่ายๆ ด้วยการวิ่ง เดินเร็ว ว่ายน้ำ และเต้นแอโรบิค สำหรับคนที่สนใจอยากทดลองออกกำลังกายด้วยกีฬาน้องใหม่มาแรง ที่ให้ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี อย่างโยคะฟลาย Yoga fly และพิลาทิส Pilates สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวการสอน ราคา และตารางการเรียนได้ที่ http://www.sanooklife.com หรือโทรสอบถามข้อมูล 081-6600864

The First upside-down
Yoga fly with friend
Pilates Group class

ที่มา health.kapook.com


Friday, August 22, 2014

วิจัยยัน พิลาทิส p i l a t e s ลดไขมันหน้าท้องได้ดีกว่า แอโรบิคด้วยการเดิน


สาวๆ หลายคนอาจคนข้องใจสงสัยว่า พิลาทิสนั้นสามารถช่วยเรื่องกระชับหน้าท้องได้จริงหรือไม่ วันนี้เรามีบทความวิจัยดีๆ มาฝากกันคะ

งานวิจัยเรื่อง ผลของการออกกําลังกายแบบพิลาทิส และแบบแอโรบิค ที่มีต่อไขมันช่องท้องในผู้หญิงอ้วน Effects of Pilates and Aerobic Exercises on Abdominal Visceral Fat in Obese Women ซึ่งจัดทำเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลของการออกกําลังกายแบบพิลาทิสและแบบแอโรบิคที่มีต่อระดับไขมันช่องท้องในผู้หญิงอ้วน

การวิจัยนี้กลุ่มตัวอย่างเป็นบุคลากร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน เพศหญิง ที่มีไขมันช่องท้องเกิน 100 ตารางเซนติเมตร อายุระหว่าง 45 – 50 ปี จํานวน 24 คน ที่ได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 12 คน

กลุ่มทดลองที่ 1 ทําการออกกําลังกายแบบพิลาทิส ส่วน กลุ่มทดลองที่ 2 ทําการออกกําลังกายแบบแอโรบิคด้วยการเดิน ออกกําลังกาย 3 วันต่อสัปดาห์ เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ โดยทําการทดสอบองค์ประกอบของร่างกาย ได้แก่ ไขมันช่องท้อง ไขมันในร่างกาย และมวลกล้ามเนื้อ ก่อนออกกําลังกาย ภายหลังการออกกําลังกายสัปดาห์ที่ 4 และภายหลังการออกกําลังกายสัปดาห์ที่ 8 จากนั้นทําการวิเคราะห์ทางสถิติ โดยการหาค่าเฉลี่ย ค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐาน ทําการวิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างค่าเฉลี่ยระหว่างกลุ่ม

ผลการวิจัยพบว่า การออกกําลังกายแบบพิลาทิส มีแนวโน้มเกิดการเปลี่ยนแปลงลดลงของไขมันช่องท้องมากกว่า การออกกําลังกายแบบแอโรบิคด้วยการเดิน อีกทั้งยังส่งผลทําให้ไขมันในร่างกายลดลง และมวลกล้ามเนื้อลําตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งในผู้หญิงอ้วนที่มีการสะสมของไขมันช่องท้องและไขมันในร่างกายสูงควรเลือกรูปแบบการออกกําลังกายที่ตอบสนองต่อการลดไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกาย เพื่อเป็นการป้องกัน และลดปัญหาสุขภาพที่จะเกิดขึ้นในอนาคต




มองหา คอร์สพิลาทิส (Pilates) คุณภาพในราคาสุดคุ้ม อย่าลืมนึกถึง Sanooklife นะคะ รับประกันราคาถูกที่สุดในกรุงเทพ

พิลาทิส Reformer 10 Classes ลดเหลือ 5,490 เหลือ ดูรายละเอียดเพิ่มเติม http://www.sanooklife.com/products/pilates-reformer-intensive
หรือโทรสอบถาม 081-6600864

ที่มา researchconference.kps.ku.ac.th

Thursday, August 14, 2014

เจาะลึกทุกแง่มุมของ "พิลาทิส" (Pilates)


พิลาทิส (Pilates) ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งการออกกำลังกายที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่หนุ่มสาวยุคใหม่ทั้งในและต่างประเทศ เป็นการออกกำลังกายที่รวมการทำสมาธิ และออกกำลังกายไว้ด้วยกัน เรียกว่าได้ทั้งสมดุลที่ดีของสุขภาพกายและใจค่ะ

พิลาทิส นั้นมีจุดเริ่มต้นเรียกว่า Contrology หรือ การควบคุม และการพัฒนาของพิลาทิสนี้ก็ปรับเปลี่ยนมาเพื่อมุ่งเน้นการใช้จิตใจควบคุมกล้ามเนื้อ ปัจจุบันนี้คุณไม่ได้ยินคำว่า Contrology แล้ว คนส่วนใหญ่เรียกแค่ พิลาทิส

Joseph Pilates โจเซฟ พิลาทิส เป็นผู้คิดค้นพิลาทิสขึ้นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เพื่อช่วยทหารที่กลับจากสงครามสามารถฟื้นฟูร่างกายตัวเองได้อย่างดี โดยโจเซฟ พิลาทิสได้ใช้เวลากว่า 18 ปีเพื่อพัฒนาวิชานี้ พิลาทิสคล้ายโยคะในแง่การหายใจ เคลื่อนไหว และการจัดสมดุล การควบคุมสมาธิ และความแม่นยำ

พิลาทิสมีการกำหนดลมหายใจที่พิเศษและแตกต่างจากโยคะ ถึงแม้พิลาทิสไม่ใช่กีฬาแบบแอโรบิก แต่ก็สามารถจะเป็นแอโรบิกได้ เพราะสามารถทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นได้ ขึ้นอยู่กับท่าที่ทำ

พิลาทิสได้รับการพัฒนาเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกาย และเน้นไปที่ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อกลางลำตัว หลัง อก และ หน้าท้อง



พิลาทิสนั้นให้ประโยชน์หลายอย่าง มาดูกันคะ ว่ามีอะไรบ้าง

1. ปรับความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายและจิตใจในการเคลื่อนไหว
2. สร้างความแข็งแรง และเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย ทำให้มีบุคลิกที่ดีและมีการเคลื่อนไหวที่เป็นธรรมชาติอย่างสวยงาม
3. เน้นเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลำตัว โดยจะทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องแบนราบสวยงามและกล้ามเนื้อลำตัวที่แข็งแรงจะทำให้ความเสี่ยงต่อโรคปวดหลังลดน้อยลง
4. กระตุ้นการเรียนรู้การเคลื่อนไหว และท่าทางที่ถูกต้องในชีวิตประจำวัน และหลีกเลี่ยงการใช้กล้ามเนื้อที่ไม่จำเป็น
5. มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากมีการเคลื่อนไหวที่เป็นไปตามธรรมชาติและมีการกระแทกของข้อต่อน้อย
6. ฟื้นฟูร่างกายหลังความเจ็บป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7. ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย โดยพัฒนาการหมุนเวียนโลหิตของร่างกาย และทำให้เซลล์ที่อยู่ทั่วร่างกายตื่นตัวและช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย

ผู้ที่เหมาะสำหรับการออกกำลังกายแบบพิลาทีส

1. ผู้ที่ต้องการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพทุกเพศทุกวัย
2. ผู้ที่ต้องการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความตึงตัวของกล้ามเนื้อกระชับสัดส่วนและหน้าท้อง
4. ผู้ที่มีปัญหาปวดหลัง จากกล้ามเนื้อลำตัวที่อ่อนแอและทำงานไม่สมดุลย์
5. นักกีฬาที่ต้องการออกกำลังกายเฉพาะ ให้เหมาะสมกับกีฬาที่เล่นอยู่
6. นักกีฬาที่ได้รับบาดเจ็บที่ต้องการการฟื้นฟูอย่างมีประสิทธิภาพ
7. ผู้ป่วยที่ต้องการการรักษาฟื้นฟูด้านการเคลื่อนไหว
8. ผู้ที่มีสุขภาพอ่อนแอที่ต้องการการออกกำลังกายที่ไม่หนักเกินไป

มองหา คอร์สพิลาทิส (Pilates) คุณภาพในราคาสุดคุ้ม อย่าลืมนึกถึง Sanooklife นะคะ รับประกันราคาถูกที่สุดในกรุงเทพ

พิลาทิส Reformer 10 Classes ลดเหลือ 5,490 บาท ดูรายละเอียดเพิ่มเติม http://www.sanooklife.com/products/pilates-reformer-intensive

หรือสนใจโทรสอบถาม 081-6600864


P30 การออกกำลังกายแนวใหม่ ที่จะทำให้คุณสวยกว่าที่เคยเป็น


หลายๆ คนคงคุ้นหูกับ T25 การออกกำลังกายน้องใหม่ มาแรงกันบ้างแล้วนะคะ ซึ่งช่วยรีดไขมัน และทำให้ร่างกายเฟิร์มในเวลาอันรวดเร็ว วันนี้เรานำรูปแบบการออกกำลังกายอีกอย่างมาแนะนำคะ ได้ผลดีไม่แพ้  T25 เลยละคะ สำหรับสาวๆ ที่อยากมีขาเรียวเล็ก หน้าท้องแบนราบ อย่าพลาด รีบมาอ่านกันคะ 

P30 ย่อมาจาก Pilates Mat 30 นาที เน้นการออกกำลังกายกล้ามเนื้อช่วงตัว หน้าท้อง แผ่นหลัง ช่วยสลายไขมันเฉพาะจุด ยกกระชับกล้ามเนื้อให้แข็งแรง

ปัจจุบันพิลาทีสเป็นที่นิยมมากในหมู่ดาราและผู้รักสุขภาพ เพราะนอกจากจะช่วยให้ผู้ฝึกมีรูปร่างเพรียว ได้สัดส่วน และช่วยกระชับหุ่นให้ฟิตแอนด์เฟิร์มแล้ว ยังช่วยยืดกล้ามเนื้อให้ยืดหยุ่นในเวลาเดียวกัน 

หลายคนอาจคิดว่า พิลาทิสเป็นการออกกำลังกายช้าๆ ที่น่าเบื่อ แต่จริงๆ แล้ว พิลาทีสเป็นการสร้างนิสัยการออกกำลังกายที่ให้ร่างกายทุกส่วนได้ออกกำลังอย่างสมบูรณ์ รวดเร็ว และใช้เวลาไม่นานค่ะ

ตอนนี้ที่กรุงเทพมีเปิดสอนแล้วนะคะ สำหรับสาวๆ ที่สนใจสามารถเรียนได้ที่ Pilates at chid lom อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.sanooklife.com/collections/pilates-at-chid-lom-bts รีบๆ เลยคะ ช่วงนี้มีโปรโมชั่น ลดกระหน่ำคะ 

Wednesday, August 6, 2014

สร้างสุขภาพที่ดีด้วยการทาน "อาหารคลีน" (Clean food)


ช่วงนี้กระแส "อาหารคลีน" (Clean food) มาแรงเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ของคนที่กำลังลดน้ำหนัก วันนี้เรามาทำความรู้จักกันดีกว่าคะว่าอาหารคลีนคืออะไร และดีต่อสุขภาพอย่างไร

อาหารคลีน (Clean Food) คือ อาหารที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งด้วยสารเคมีต่าง ๆ หรือผ่านการแปรรูปน้อยที่สุดนั่นเอง อาหารเหล่านี้จะเป็นอาหารที่สดสะอาดไม่ผ่านกระบวนการหมักดองหรือปรุงรสใดๆ มากจนเกินไป เช่น เค็มจัดหรือหวานจัด เป็นต้น

อย่างอาหารประเภทอาหารสำเร็จรูปที่แช่ตู้เย็นนั่นคือตรงข้ามเลย เพราะอาหารเหล่านี้มักใส่สารกันเสียเข้าไปด้วยเพื่อให้สามารถเก็บได้นานขึ้น หรือขนมขบเคี้ยวที่ก็จะมีแต่แป้งและผงชูรส และยังเต็มไปด้วยโซเดียมกับน้ำมัน น้ำอัดลมหลากสีหลากกลิ่นทั้งหลาย รวมทั้งอาหารขยะอย่างเบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟราย ไก่ชุบแป้งทอดก็ด้วย

การปรุงอาหารแบบคลีนไม่ใช่การเน้นทานผักเยอะ ๆ แต่เป็นการทานอาหารทุกหมู่อย่างในสัดส่วนที่เหมาะสม คือต้องมีทั้งคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เนื้อสัตว์ที่ใช้ควรเลือกแบบที่ไม่ใช่สำเร็จรูปหรือผ่านการปรุงรสมาแล้ว

จะเห็นได้ว่า อาหารคลีนเป็นอาหารที่ผ่านขั้นตอนการปรุงแต่งมาน้อย หรือไม่ผ่านการปรุงแต่งเลย เน้นธรรมชาติของอาหารนั้นเป็นหลัก และอาหารคลีนยังมีสรรพคุณที่ดีสำหรับคนที่อ้วน คนที่มีน้ำหนักและไขมันมาก เพราะอาหารคลีนส่วนใหญ่จะผลิตมาจากธรรมชาติ ไม่ผ่านการปรุงแต่งสังเคราะห์ หรือหากจะมีการปรุงแต่งก็มีการปรุงแต่งที่น้อยถึงน้อยที่สุด ซึ่งจะมีผลดีต่อคนที่ต้องการลดน้ำหนัก ลดความอ้วน ลดไขมัน และคนที่ใส่ใจกับสุขภาพของตนเอง

สำหรับท่านที่เริ่มต้นการกินอาหารคลีน ต้องเริ่มต้นด้วยการไม่ยึดติดในรสชาติของอาหารแบบเดิม ๆ ที่เราเคยรับประทาน เพราะการกินคลีน หรือกินอาหารคลีนนั้นรสชาติจะเป็นรอง แต่จะให้ความสำคัญกับตัวอาหารที่ไม่เน้นการปรุงแต่ง หรือปรุงแต่งให้น้อยที่สุด เพื่อให้การกินอาหารคลีนได้รับประโยชน์สูงสุดแก่ร่างกาย และผลพลอยได้ทำให้สุขภาพดีในระยะยาว ไม่เจ็บป่วยง่าย

มาดูกันดีกว่าว่าหากอยากรับประทานอาหารแบบคลีนๆ ควรมีอะไรติดครัวหรือติดตู้เย็นของคุณกันบ้าง
     
     
       สิ่งที่ควรมีติดครัว
     
        ผักและผลไม้สด
     
        แป้งที่ไม่ผ่านการขัดสี อาทิ ขนมปังโฮลวีต, ข้าวกล้อง, ข้าวซ้อมมือ,
     
        โปรตีนที่ดี เช่น อกไก่ไม่ติดหนัง, เนื้อปลา,ไข่ขาว, เต้าหู้ ฯลฯ
     
        น้ำมันที่ดีต่อสุขภาพ อาทิ น้ำมันมะกอก,น้ำมันมะพร้าว,นำมันอะโวคาโด,น้ำมันดอกทานตะวัน,น้ำมันเมล็ดฟักทอง ฯลฯ
     
        อาหารที่สดใหม่
     

       สิ่งที่ไม่ควรมีติดครัว
     
        ผลิตภัณฑ์ขัดสี อาทิ ขนมปังสีขาว,ข้าวขาว,น้ำตาลทรายขาว
     
        อาหารสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง อาหารแช่แข็ง
     
        ผลิตภัณฑ์หรือาหารที่ใส่สารกันบูด
     
        อาหารฟาสต์ฟู้ด จั๊งค์ฟู้ด
     
        เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์


ดังนั้น จึงจะเห็นได้ว่าอาหารคลีนนั้นเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ของคนรักสุขภาพ ที่ต้องการสรรหาแต่สิ่งดี ๆ ให้กับตนเอง เพราะอาหารคลีนเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพของเรานั่นเอง


เจาะลึกกับ T25 การออกกำลังกายแบบใหม่ มาแรง



T25 คืออะไร ทำไม T25 ถึงได้ฮอตฮิตในหมู่คนรักสุขภาพ รวมทั้งในหมู่ดาราชื่อดัง มาเจาะลึกการออกกำลังกายแบบ T25 คืออะไรกันค่ะ

          ใครที่กำลังสนใจอยากลดน้ำหนักหรือฟิตเฟิร์มสุขภาพให้แข็งแรง เชปบ๊ะและมีกล้ามเนื้อพอให้ดูเป็นสาวเฮลธ์ตี้ อาจจะเคยได้เห็นผ่านตามาบ้างว่า ตอนนี้การออกกำลังแบบ T25 นั้นฮอตฮิตขนาดไหน และด้วยรีวิวของคนที่ได้ลองออกกำลังแบบ T25 ซึ่งเห็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจจนเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคนในเวลาไม่กี่เดือน ก็ยิ่งกระตุ้นต่อมอยากรู้อยากลองการออกกำลัง T25 ได้ไม่น้อยเลยเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นเรามาทำความรู้จักกับการออกกำลังแบบ T25 กันเลยดีกว่า

          การออกกำลังแบบ T25 คืออะไร ?

          การออกกำลังกายแบบ T25 มีชื่อเต็ม ๆ ว่า Focus T25 คิดค้นโดย Shaun T เทรนเนอร์มากประสบการณ์ผู้เป็นเจ้าของโปรแกรมออกกำลังกายแบบอินแซนนิตี (Insanity) หรือการออกกำลังกายแบบเต้นไปเต้นมา ใช้การเคลื่อนไหวของร่างกายเยอะ ๆ ติดต่อกันเป็นเวลา 60 วัน ซึ่งก็เป็นการออกกำลังกายที่ฮิตในหมู่คนไดเอตและคนรักสุขภาพมาก่อนหน้านี้

          แต่หลังจากส่งโปรแกรมอินแซนนิตี (Insanity) ในรูปแบบ DVD ออกมาเขย่าวงการออกกำลังกายได้สักระยะ ทาง BEACHBODY (http://www.beachbody.com) และ Shaun T ก็ส่ง Focus T25 ออกมาอีกชุดเพื่อตอกย้ำว่าเวลาไม่ใช่ปัญหาของคนอยากมีหุ่นสวยสุขภาพดีอีกต่อไป เนื่องจากการออกกำลังกายแบบ T25 เป็นการออกกำลังอย่างหนักติดต่อกันเพียง 25 นาทีต่อวันเท่านั้น และในอีก 50 วัน เจ้าโปรแกรม T25 จะเปลี่ยนคุณเป็นคนละคนแบบที่ต้องตะลึงงัน !

          T25 เป็นการออกกำลังด้วยวิธีไหน ?

          การออกกำลังแบบ T25 จะเน้นการออกกำลังแบบคาร์ดิโอ เคลื่อนไหวกล้ามเนื้อทุกสัดส่วนต่อเนื่องนาน 25 นาทีโดยไม่หยุดพัก และออกกำลังแค่ 5 วันต่อสัปดาห์เท่านั้น ซึ่งเทรนเนอร์หนุ่มเจ้าของต้นตำรับก็แอบกระซิบมาว่า การออกกำลังกายแบบ T25 เพียงแค่ 25 นาที ก็จะได้ผลลัพธ์เหมือนเราออกกำลังกายนานถึง 1 ชั่วโมงเต็มเลยล่ะ แหม...ประสิทธิภาพของการออกกำลังกายเทียบเท่ากันอย่างนี้ สาว ๆ จะเสียเวลาไปออกกำลังกายนานถึง 1 ชั่วโมงทำไมล่ะเนอะ

          ทั้งนี้ การออกกำลังกายแบบ T25 ยังตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ได้อย่างถูกเผง เพราะ T25 ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ออกกำลังกายหลายชิ้น เพียงแค่ดัมเบลขนาดพอเหมาะกับยางยืดก็พอ ไม่ต้องใช้พื้นที่เยอะ สามารถออกกำลังกายได้เองที่บ้านโดยไม่ต้องเสียเวลาไปฟิตเนสที่ไหน อาศัยแค่รองเท้าผ้าใบที่ถูกกิจจะลักษณะกับใจที่มุ่งมั่นแน่วแน่เท่านั้น

          โดย T25 จะแบ่งการออกกำลังเป็น 3 เฟส เริ่มจาก Alpha ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นสำหรับออกกำลังเสริมสร้างกล้ามเนื้อทุกสัดส่วนโดยพื้นฐานก่อนเป็นเวลา 5 สัปดาห์ เพื่อเตรียมพร้อมร่างกายให้แข็งแรงก่อนจะก้าวเข้าสู่เฟส Beta ในเดือนที่ 2 โดยเฟส Beta จะเน้นออกกำลังส่วนกลางของลำตัว ซึ่งก็คือส่วนหน้าท้องนั่นเองค่ะ สาวคนไหนอยากเสกให้พุงย้วย ๆ หายก็ต้องลองเฟส Beta นี้เลย และสุดท้ายกับเฟส Gamma เป็นการรวบรวมทั้ง 3 เฟสเข้าด้วยกัน จบคอร์สการออกกำลังกายแบบ T25 อย่างฟิตกระชับสุด ๆ

          ทั้งนี้ ท่าออกกำลังกายในแต่ละเฟสก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละวันตามตารางที่แถมมาให้พร้อมแผ่น DVD และด้วยความหลากหลายไม่ซ้ำซากจำเจของท่าออกกำลัง เลยทำให้สาว ๆ หลายคนสนุกกับการออกกำลังกายแบบ T25 ที่แม้จะเหนื่อยแสนเหนื่อย เสียเหงื่อเป็นปี๊บ ๆ ก็ไม่ถอย โดยตามตารางแล้วการออกกำลังกายแบบ T25 ในแต่ละเฟส จะแบ่งออกได้ 6 พาร์ท (6 แผ่น) ดังนี้ค่ะ

เครดิตภาพจาก Blog ของ หนิง ศรัยฉัตร จีระแพทย์ (http://saraichatt.com)

         Alpha Cycle

          1. Cardio

          เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายด้วยการเต้นตามเทรนเนอร์ใน DVD เต้นอย่างหนักติดต่อกันนาน 25 นาทีโดยไม่หยุดพัก เซตนี้จะเน้นให้ขยับแขน-ขาอย่างเร็ว เพื่อให้หัวใจเต้นแรงขึ้น ตามแบบฉบับ cardio ที่เน้นการเต้นของหัวใจ ซึ่งจะช่วยบริหารกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรงขึ้น ที่สำคัญยังช่วยเบิร์นแคลอรี่ได้เป็นกอบเป็นกำเลยเชียว

          2. Speed1.0

          ท่าเต้นแบบคาร์ดิโอที่ว่าเร็วพอมาเจอแผ่น Speed1.0 ต้องบอกว่าเร็วกว่าแผ่นคาร์ดิโออีกค่ะ ถ้าใครที่ชื่นชอบการเคลื่อนไหวร่างกายแบบเร็ว ๆ มูฟเม้นต์เยอะ ๆ คงโปรดปราน Speed1.0 น่าดู ซึ่งนอกจากท่าออกกำลังกายแบบแดนเซอร์มัน ๆ แล้ว การเต้นตามแบบ DVD นี้ยังพาให้คุณได้ขยับเขยื้อนร่างกายทุกสัดส่วน เบิร์นไขมันส่วนเกินออกไปแบบไม่รู้ตัว

          3. Total Body Circuit

          การบริหารร่างกายแบบเน้นความแข็งแรงของกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ลักษณะของท่าจะคล้ายแอโรบิกผสมโยคะ และยิมนาสติกเบา ๆ นั่นก็หมายความว่าไม่จำเป็นต้องใช้ดัมเบลหรืออุปกรณ์ออกกำลังกายใด ๆ อาศัยแค่ความอดทนของผู้เล่นเท่านั้นค่ะ และขอบอกตรงนี้เลยว่า การออกกำลังเซตนี้ช่วยบริหารกล้ามเนื้อท้องได้อย่างแจ่มจริง ๆ แต่เหนื่อยแบบทบทวีเลยเหมือนกันนะ

          4. Ab Intervals

          ชื่อก็บอกชัดอยู่แล้วว่าเน้นการบริหารกล้ามเนื้อท้อง (Ab) เป็นพิเศษ แต่ถ้าใครได้ลองออกกำลังกายตามเซตนี้ก็จะรู้ได้ว่า อัตราการเต้นของหัวใจจะแรงและเร็วมาก ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายมากมาย ซึ่งก็ไม่ต้องตกใจค่ะ เพราะเทรนเนอร์เขาต้องการให้เลือดสูบฉีดไปทั่วร่าง และบริหารกล้ามเนื้อหัวใจเราไปพร้อม ๆ กันด้วย

          5. Lower Focus

          เซตนี้เราจะมาเน้นบริหารกล้ามเนื้อส่วนล่าง ตั้งแต่สะโพกยันปลายเท้าเลยค่ะ เหมาะกับคนที่อยากลดต้นขา และกระชับขาให้เรียวเล็ก ซึ่งแต่ละท่าที่เทรนเนอร์เขาเต้นนำเรา จะทำให้สาว ๆ ปวดเมื่อยขาแบบสุดขีด แต่ก็อย่าท้อกันนะคะ ท่องไว้ว่าอนาคตเราจะเป็นสาวที่มีเรียวขาเพรียวสมส่วน

          6. Stretch

          ท่ายืดกล้ามเนื้อเบา ๆ ในวันอาทิตย์ หลังจากที่ออกกำลังกายตามเทรนเนอร์ใน DVD มาอย่างหนักหนาสาหัส ท่าออกกำลังเซตนี้จะช่วยผ่อนให้กล้ามเนื้อคลายความตึงเครียด โดยอุปกรณ์ก็มีแค่เบาะรองกับรองเท้าผ้าใบคู่โปรดเท่านั้นก็พอ แต่ผลลัพธ์ที่ได้การันตีได้เลยว่าจะคลายความเมื่อยล้า และเรียกเหงื่อได้ท่วมท้นเหมือนเดิม แม้เทรนเนอร์จะไม่ได้นำเรากระโดดโลดเต้นเลยก็ตาม

เครดิตภาพจาก Blog ของ หนิง ศรัยฉัตร จีระแพทย์ (http://saraichatt.com)

         Beta Cycle

          1. Cardio

          เน้นการบริหารกล้ามเนื้อหัวใจเหมือนกับเฟส Alpha แต่มีท่าบริหารกล้ามเนื้อท้องเสริมเข้ามาด้วย พร้อมทั้งมีท่าทดสอบความแข็งแรงของร่างกายเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง อย่างท่า Plank Diagonal Lift ที่คล้าย ๆ ท่าวิดพื้น แต่ยกแขนและขาขึ้นอย่างละข้าง และพยายามทรงตัวให้ได้ ทำสลับกันไปสักพัก เป็นการเกร็งกระชับทั้งส่วนแขน ขา และหน้าท้องที่เจ๋งแต่เหนื่อยลิ้นห้อยมาก ๆ

          2. Speed 2.0

          ยังคงเน้นท่าเต้นเร็ว ๆ เหมือนเดิม แต่มันส์กว่า สนุกกว่าจนอาจจะลืมเหนื่อยและเผลอทำให้ชีพจรเต้นแรงและเร็วเกินไปได้ง่าย ๆ โดยท่าส่วนใหญ่ที่เทรนเนอร์แนะนำจะเป็นท่าเต้นที่สนุกสนานเร้าใจ ลักษณะคล้าย ๆ ท่าเต้นของแดนเซอร์ สาวคนไหนที่ฝันอยากเต้นคัฟเวอร์เกาหลีแบบเก๋ ๆ น่าจะหลงรักแผ่น Speed 2.0 แน่ ๆ

          3. Rip’T Circuit

          ท่าออกกำลังที่ต้องใช้ดัมเบลขนาดเหมาะมือเข้าช่วย (ดัมเบลยิ่งหนักกล้ามยิ่งขึ้นนะจ๊ะสาว ๆ) โดยเทรนเนอร์จะนำเต้นแบบคาร์ดิโอก่อน ต่อด้วยท่าบริหารกล้ามเนื้อแขน ขา และหน้าท้อง แล้วจึงวนกลับไปเต้นท่าคาร์ดิโออีกครั้งอย่างนี้เรื่อย ๆ จนครบ 25 นาที แผ่นนี้ไม่ค่อยเหนื่อยมากค่ะ แต่ก็เรียกเหงื่อและเบิร์นแคลอรี่ได้พอตัวเลยล่ะ

          4. Dynamic Core

          การออกกำลังกายแบบเน้นใช้พลังของร่างกายเป็นหลัก โดยเน้นบริหารกล้ามเนื้อส่วนกลางลำตัวทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เช่น มีท่า Side Plank ที่ต้องนอนตะแคงเท้าแขนไว้ข้างหนึ่ง เหยียดขาตรง และยกลำตัวขึ้นลงอย่างนั้นซ้ำ เหนื่อยใช้ได้เลยทีเดียวค่ะ

          5. Upper Focus

          เป็นแผ่นที่เน้นการบริหารกล้ามเนื้อส่วนบน เทรนเนอร์จะนำให้เราออกกำลังที่ต้องใช้แรงแขน เพื่อกระชับต้นแขนและส่วนไหล่ โดยใช้ดัมเบลน้ำหนักพอเหมาะเป็นอุปกรณ์เสริม ซึ่งสาว ๆ ก็อย่าโหมใช้ดัมเบลหนักเข้าล่ะ เดี๋ยวกล้ามโตขึ้นมาแล้วจะหาว่าไม่เตือน

          6. Strecth

          ไม่ค่อยต่างจากเฟส Alpha เท่าไรค่ะ เป็นการเน้นบริหารกล้ามเนื้อโดยยืดเส้นยืดสายคลายความตึงเครียดเป็นหลัก

          ทั้งนี้ ในส่วนเฟส Gamma ก็จะมีลักษณะคล้าย ๆ กัน เพียงแต่ความเร็วในแผ่น Speed (ในเฟส Gamma เป็น Speed 3.0) จะเร็วขึ้น มันขึ้น ท่าก็ยากมากขึ้นด้วย แต่ยังคงความสนุกได้เต็มแม็กซ์ และอาจจะหนักไปทางเวทเทรนนิ่งเป็นส่วนใหญ่ พร้อมทั้งยังได้ออกกำลังกายแบบ Upper Body และ Lower Body ไปด้วยกัน แต่ท่าจะยากขึ้นอีกระดับ บริการกล้ามเนื้อกันอย่างโหดขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ก็อยู่ภายใต้การนำของเทรนเนอร์ใน DVD ตลอดทั้งคอร์สเลยนะจ๊ะ

          ออกกำลังแบบ T25 แล้วจะได้อะไร ?

          อย่างแรกที่เห็นได้ชัดเจนเมื่อออกกำลังกายแบบ T25 ก็คือ รูปร่างของสาว ๆ จะกระชับขึ้น สัดส่วนเล็กลง หน้าท้องแบนราบ เรียกได้ว่าเฟิร์มขึ้นอย่างจับสังเกตได้ อีกทั้งเมื่อได้เสียเหงื่อบ่อย ๆ เลือดลมก็จะหมุนเวียนได้ดี ผิวพรรณก็ดูเปล่งปลั่งเหมือนเป็นสาวรักสุขภาพสุด ๆ

          ส่วนในแง่สุขภาพก็แน่นอนอยู่แล้วว่าแค่เราขยับร่างกาย ออกกำลังให้หัวใจเต้นแรงและเสียเหงื่อ บวกกับควบคุมอาหารโดยหันมากินอาหารคลีนหรืออาหารเพื่อสุขภาพมากกว่าแต่ก่อน แค่นี้ก็เพียงพอจะป้องกันเราจากโรคภัยไข้เจ็บได้หลายโรค แถมยังฟิตสุขภาพของเราให้แข็งแรง มีภูมิต้านทาน ปรับสมดุลในร่างกายให้เข้าที่เข้าทาง ส่งผลให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งอย่างน้อยก็ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดีกว่าตอนที่ไม่ได้ออกกำลังกาย กล้ามเนื้อแข็งแรงและกระฉับกระเฉงขึ้นด้วยนะจ๊ะ

          T25 เหมาะกับใครบ้าง ?

          จริง ๆ แล้วการออกกำลังกายแบบ T25 จะค่อนข้างตอบโจทย์คนที่อยากลดสัดส่วนและลดน้ำหนัก เนื่องจาก T25 จะช่วยให้คุณรีดไขมันและเฟิร์มร่างกายได้ในเวลาอันรวดเร็ว โดยไม่ต้องอดทนออกกำลังกายเป็นเวลานานต่อเนื่องหลายเดือน เพราะเพียงแค่ออกกำลังแบบ T25 แค่ 2 เดือนตามตารางที่เขากำหนด ก็จะเห็นผลลัพธ์ที่น่าร้องว้าวแล้ว แต่กับคนที่มีโรคประจำตัวอย่างโรคหัวใจ โรคข้อเข่า อาจจะต้องเลี่ยงการออกกำลังกายในบางท่า เพราะท่าออกกำลังกายบางคอร์สจะเน้นการกระโดด การเคลื่อนไหวร่างกายแบบเร็ว ๆ ซึ่งอาจกระทบกับโรคประจำตัวของคุณได้

          อย่างไรก็ดี การออกกำลังกาย T25 จะค่อนข้างเรียกเหงื่อและทำให้เราเสียพลังงานเยอะมาก หลายคนที่เริ่มเล่นช่วงแรก ๆ อาจจะเหนื่อยจนแทบขาดใจ แต่ก็อย่าท้อและอย่าหักโหมนะคะ เหนื่อยก็หยุดพักได้เป็นระยะ ค่อยเป็นค่อยไปจนกว่าจะทำตามในแต่ละท่าได้สำเร็จ อย่ากดดันตัวเองด้วยระยะเวลา แต่ก็อย่าเฉื่อยชาจนสร้างความขี้เกียจให้ตัวเองก็พอ และที่สำคัญพยายามควบคุมอาหารพร้อมกับเลือกกินผักผลไม้ อาหารเพื่อสุขภาพ และดื่มน้ำเยอะ ๆ ด้วย

ที่มา health.kapook.com



Thursday, July 31, 2014

ยืดเส้น ยืดสาย พิชิตโรคออฟฟิศ ซินโดรม (office syndrome)


การนั่งจ้องจอคอมพิวเตอร์มากว่าครึ่งค่อนวัน กับเก้าอี้ที่นั่งแล้วรู้สึกไม่สบายตัว จนทำให้รู้สึกปวดคอ ปวดหลัง ปวดไหล หากคุณมีอาการเหล่านี้ล่ะก็ ควรระวัง “โรคออฟฟิศซินโดรม” จะถามหากันไว้ด้วยนะคะ วันนี้แอดมินขอแนะนำท่าบริหารง่ายๆ แค่ขยับนิดขยับหน่อยก็สามารถห่างจากโรคออฟฟิศซินโดรมมาฝากกันค่ะ

ท่าที่ 1 >>> ท่านี้ช่วยยืดกล้ามเนื้อข้อมือและแขน ทำได้ง่ายๆ ค่ะ ก่อนอื่นประสานมือเข้าด้วยกันโดยหันฝ่ามือออกนอกตัว ยืดแขนออกไปข้างหน้า บิดขึ้นลงโดยให้ศอกขนานกับพื้น (คล้ายๆ ท่าบิดขี้เกียจ) ค้างไว้ท่าละประมาณ 5 วินาที ทำจนครบ 5 ครั้ง

ท่าที่ 2 >>> ท่ายืดกล้ามเนื้อร่างกายส่วนบน ประสานนิ้วมือเข้าด้วยกัน เหมือนกับท่าแรก แต่ท่านี้ให้ยืดฝ่ามือขึ้นเหนือศีรษะ หายใจเข้าลึกๆ ค้างไว้ประมาณ 10-15 วินาที หายใจออกในขณะที่ค่อยๆ ผ่อนมือลง ทำจนครบ 5 ครั้ง

ท่าที่ 3 >>> ท่ายืดกล้ามเนื้อไหล่และแขน ประสานมือไว้ด้วยกันเหมือนเดิมแล้วหันฝ่ามือออกนอกตัว แต่รอบนี้ยืดไปด้านหลังค่ะ จากนั้นยืดแขนขึ้นลงพร้อมๆ กัน โดยค้างไว้ประมาณ 3 วินาที ทำ 5 ครั้ง

ท่าที่ 4 >>> บริหารกล้ามเนื้อหลังส่วนบนกันต่อ ประสานนิ้วมือเข้าด้วยกันไว้หลังศีรษะ โดยให้ข้อศอกทั้งสองด้านกางออกนอกลำตัวขนานกับบ่า ค่อยๆ ดึงไหล่เข้าออกพร้อมกัน โดยให้ค้างไว้ประมาณ 5 วินาที ทำ 5 ครั้ง

ท่าที่ 5 >>> ท่ายืดกล้ามเนื้อข้างลำตัว ไม่ยากเลยค่ะ ลำดับแรกให้ยกแขนซ้ายขึ้นเหนือศีรษะ หันฝ่ามือออกด้านหน้า งอแขนลงมาโดยให้มืออยู่บริเวณไหล่ขวา ใช้มือขวาดึงข้อศอกด้านซ้ายมาทางด้านหลังศีรษะ ให้รู้ว่าไหล่ และหลังยืดจนตึง ค้างไว้ประมาณ 5 วินาที ทำอีกด้านเช่นเดียวกัน โดยทำข้างละ 3 ครั้ง

ท่าที่ 6 >>> ท่ายืดกล้ามเนื้อแขนและหลังส่วนบนกันเป็นท่าสุดท้ายค่ะ ให้ยืดแขนขวามาทางด้านซ้ายของลำตัว แล้วใช้มือซ้ายกุมที่ข้อศอก ดึงเข้าหาลำตัว โดยทำค้างไว้ประมาณ 5 วินาที ข้างละ 3 ครั้ง จากนั้นสลับข้างและทำเหมือนกัน

ทำเช่นนี้ทุกวัน ก็สามารถพิชิตโรคออฟฟิศซินโดรมได้แล้วละค่ะ อีกทั้งยังสามารถทำได้ง่ายๆ ในออฟฟิศ แถมยังใช้เวลาไม่มากอีกด้วย ทางที่ดีหนุ่มสาวออฟฟิศควรหมั่นลุกออกจากเก้าอี้บ้าง และพักสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ ด้วยการละสายตามองไปไกลๆ โดยทำประมาณทุกๆ 1-2 ชั่วโมง รวมถึงการจัดท่านั่งให้เหมาะสมก็จำเป็นเช่นกัน

ที่มา: www.facebook.com/Maeban.co.th