Tuesday, August 20, 2013

ชีวิตกับโลกสองด้าน: สัจธรรมที่ทุกชีวิตต้องสัมผัส

อย่าดีใจมากเกินไป เมื่อมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้น และอย่าเสียใจมากเกินไป เมื่อสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้น เพราะทุกชีวิตจะต้องได้สัมผัสกับทั้งสองสิ่งผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป





รูปภาพทั้งสองนี้เป็นภาพที่ถ่ายมาจากสถานที่เดียวกัน แต่แตกต่างกันตรงที่ถ่ายคนละฤดูกาล ทุกๆ สิ่งบนโลกมีความไม่แน่นนอน ทุกๆ สิ่งมีทั้งความดีและความเลว ความงามหรือความเสื่อมโทรมอยู่ในตัวของมันเอง ดังเช่นรูปภาพทั้งสอง บางครั้งทุกๆ สิ่งในภาพอาจดูเสื่อมโทรม รกร้าง และน่ารังเกียจ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ฤดูที่แตกต่าง สิ่งต่างๆ ในภาพก็กลับมาสวยงาม น่ารื่นรมย์ และน่าชมอีกครั้ง แน่นอนที่สุดเมื่อวันเวลาผ่านไปอีกครั้ง สิ่งต่างๆ เหล่านั้นก็อาจกลับมารกร้างเช่นเดิม ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปเช่นนี้เรื่อยๆ

ในส่วนของลัทธิเต๋าที่ได้กล่าวไว้ว่า 
“เต๋าที่สามารถนำมาเล่าขานนามได้ยังไม่ใช่นามอมตะ
สิ่งที่ยังมีการเรียนขานนามได้ยังไม่ใช่นามอมตะ
นิรนาม นั้นเป็นรากฐานแห่งสวรรค์และดิน
การเกิดมีนามขึ้น จึงเป็นมารดาของสิ่งทั้งหลาย
ดังนั้นขอให้มีแต่สิ่งที่ไม่มีเถิด
เพื่อเราจะได้เห็นความละเอียดอ่อนของมัน
ขอให้มีสิ่งที่มี เพื่อเราจะไดเห็นผลของมัน
ทั้งสองอย่างนี้เป็นสิ่งเดียวกัน..”

จากคัมภีร์บทดังกล่าวทำให้เรามองเห็นว่า ทุกสิ่งๆในโลกเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ความเป็นเต๋าก็เช่นกัน “เต๋า” เป็นเอกภาวะ หรือเอกภาพระหว่างสิ่งที่มีอยู่ และสิ่งที่ไม่มีอยู่ (จารุณี วงศ์ละคร, 2548) 

ผู้เขียนยังเคยได้อ่านเรื่องสั้นจากเว็บไซต์ มีเนื้อเรื่องโดยย่อดังนี้ “ชาวนาคนหนึ่งเสียใจอย่างมากที่วัวซึ่งเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายของเขาตายจากไป แต่แล้วเขาก็กลับดีใจอย่างมากที่วัวของเขาจากไปตั้งแต่ตอนแรก เพราะเขาได้ข่าวจากภรรยาของเขามาว่าเพื่อนบ้านของเขาถูกฆ่าตายจากคนร้ายที่เข้ามาขโมยวัวในตอนดึก เขาคิดว่าถ้าเขามีวัวอยู่ เขาก็อาจถูกฆ่าตายด้วยเช่นกัน”

จากที่ได้กล่าวมาข้างต้น ผู้เขียนได้นำเอาเรื่องราวทั้งหมดมาวิเคราะห์ และเชื่อมโยงกัน สรุปได้ว่า ทุกๆสิ่งบนโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน สถานที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยรกร้าง ทรุดโทรม วันหนึ่งมันก็กลับมาสวยงามได้ และวันหนึ่งมันก็อาจกลับมาทรุดโทรม รกร้างได้อีกเช่นกัน มนุษย์ก็เช่นกัน ครั้งหนึ่งเราอาจเคยเสียใจอย่างสุดๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เรื่องที่เคยเสียใจนั้นมันอาจทำให้เราดีใจสุดๆ ก็เป็นได้ เช่นเรื่องของชาวนาข้างต้น 

ดังนั้นเราจงทำใจยอมรับให้ได้เมื่อสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้น  จงจำไว้เสมอว่าสิ่งร้ายๆ นั้น จะไม่อยู่กับเราตลอดไป และเช่นกันเราไม่ก็ควรดีใจมากเกินไป เมื่อมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้น เพราะสิ่งดีๆ นั้นจะไม่อยู่กับเราตลอดไป เมื่อมีสิ่งดี ก็ต้องมีสิ่งร้าย ทุกๆ สิ่งต้องเปลี่ยนแปลง เราไม่ควรหลงระเริงและประมาท เราควรมีสติอยู่เสมอ และเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อรับมือกับสิ่งที่เลวร้าย เมื่อมันผ่านพ้นไป เราก็จะได้พบกับสิ่งดีๆ อีกครั้ง ที่สำคัญจงทำใจยอมรับว่า เราต้องเจอกับทั้งสองสิ่งอยู่เสมอ เพราะโลกนี้มีสองด้านเสมอ  และตราบใดที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้ เราก็จะต้องพบเจอกับทั้งสองสิ่งหมุนเวียนไปเรื่อยๆ

สุดท้ายก็อยากจะฝากบทเพลง ซึ่งเป็นเสมือนสิ่งคอยเตือนใจในการดำเนินชีวิตของทุกๆคน และเป็นเสมือนกำลังให้ทุกๆ คนฝ่าฟันปัญหา และพร้อมที่จะเผชิญกับทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกนี้

ฤดูที่แตกต่าง

อดทนเวลาที่ฝนพรำ อย่างน้อยก็ทำให้เรา ได้เห็นถึงความแตกต่าง 
เมื่อวันเวลาที่ฝนจาง ฟ้าก็คงสว่างและทำให้เราได้เข้าใจ ว่ามันคุ้มค่าแค่ไหนที่เฝ้ารอ
หากเปรียบกับชีวิตของคน เมื่อยามสุขล้นจนใจมันยั้งไม่อยู่
ก็คงเปรียบได้กับฤดู คงเป็นฤดูที่แสนสดใส
แต่ถ้าวันหนึ่งวันไหน ที่ใจเจ็บจนทุกข์ ดั่งพายุที่โหมเข้าใส่
บอกกับตัวเองเอาไว้ ความเจ็บต้องมีวันหาย ไม่ต่างอะไรที่เราต้องเจอทุกฤดู
อดทนเวลาที่ฝนพรำ อย่างน้อยก็ทำให้เรา ได้เห็นถึงความแตกต่าง
เมื่อวันเวลาที่ฝนจาง ฟ้าก็คงสว่างและทำให้เราได้เข้าใจ ว่ามันคุ้มค่าแค่ไหนที่เฝ้ารอ
เมื่อวันที่ต้องเจ็บช้ำใจ จากความผิดหวังจนใจมันรับไม่ทัน
เป็นธรรมดาที่เราต้องไหวหวั่น กับวันที่อะไรมันเปลี่ยนไป
อย่าไปกลัวเวลาที่ฟ้าไม่เป็นใจ อย่าไปคิดว่ามันเป็นวันสุดท้าย
น้ำตาที่ไหลย่อมมีวันจางหาย หากไม่รู้จักเจ็บปวด ก็คงไม่ซึ้งถึงความสุขใจ



บทความโดย นันทพร คำยอด 



No comments:

Post a Comment