Friday, May 15, 2015

ข้าวเหนียวดำ..ทำผิวสวยได้ด้วยนะ

ข้าวเหนียวดำ ที่มองแต่ภายนอกอาจจะดูไม่น่ากิน แต่ขอบอกว่ามันแอบแฝงไปด้วยประโยชน์มากมายเชียวแหละ นอกจากประโยชน์ต่อสุขภาพจากสารสำคัญ แกมมา-โอโรซานอลแล้ว ข้าวเหนียวดำยังมีสรรพคุณช่วยเรื่องผิวพรรณของสาวๆ ได้ด้วยนะ เรียกว่าได้ทั้งสุขภาพที่ดีและผิวพรรณที่ดีอีกด้วย


ในข้าวเหนียวดำจะมีส่วนที่เรียกว่า "จมูกข้าวดำ" อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อว่า “แอนโทไซยานิน” มีคุณสมบัติในการต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ช่วยการหมุนเวียนของกระแสโลหิตในร่างกาย ชะลอการเสื่อมของเซลล์ร่างกายและกระตุ้นการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิว ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง เรียบเนียนขึ้น ข้าวเหนียวดำมีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าจมูกข้าวสาลี

และยังมี “วิตามินอี” ที่ช่วยชะลอการแก่ของเซลล์ในร่างกาย ทำให้การกระจายตัวของออกซิเจนในกระแสเลือดดีขึ้น เป็นสารหลักของสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการดูแลรักษาผิว รักษาแผลเป็น และลดริ้วรอยบนผิว

นักวิทยาศาสตร์ทางด้านอาหาร กล่าวว่า
ข้าวเหนียวดำแค่ช้อนเดียวมีสารแอนทอกยานิน แอนตี้ออกซิแดนท์ที่เป็นสารส่งเสริมสุภาพมากยิ่งกว่าที่เราพบในผลเบอร์รี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีน้ำตาลน้อย มากไปด้วยไซเบอร์ (กากเส้นใย) และวิตามิน

ขอบคุณบทความจาก : women.thaiza.com

Thursday, May 14, 2015

7 ท่าฟิตแขนให้เรียวเล็ก เซ็กซี่ ไม่ห้อยย้อย

เวลาใส่เสื้อแขนกุด สิ่งที่บั่นทอนความมั่นใจของผู้หญิงเรามากเป็นอันดับต้นๆ ก็คือท้องแขนที่ห้อยย้อยนี่ล่ะค่ะ จะโบกมือบ๊ายบายใครแต่ละทีก็ต้องคอยเหนียม เพราะกลัวว่าเค้าจะเห็นเหนียงใต้แขนแกว่งไปมา ซึ่งปัญหานี้เกิดขึ้นได้แม้กระทั่งกับคนผอม เนื่องจากขาดการบริหารกล้ามเนื้อแขนบริเวณ Triceps หรือหลังแขนนั่นเอง

     แต่ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้วค่ะสาวๆ เพราะ SanooklifeBlog เอา 7 ท่าฟิตแขนให้เรียวเล็กมาฝากแล้ว ทำบ่อยๆ กล้ามเนื้อแขนจะกระชับได้รูป ใส่ชุดไหนก็สวยมั่นใจแน่นอนค่า


ลองทำดูนะคะแค่รอบละ 15 ครั้ง ทำ 3 เซ็ท เพื่อแขนเรียวสวย ไม่ห้อยย้อย ย้วยเพละอีกต่อไป สู้สู้คร้า



ฟิตหุ่นเฟิร์มภายใน 28 วัน!! พร้อมตารางและคำอธิบายแบบจัดเต็ม!!

สาวๆคนไหนที่อยากหุ่นเฟิร์มภายใน 1 เดือน นี่เลยค่ะ! โปรแกรมฟิตหุ่นวันละ 30 นาที ภายใน 28 วัน ฟังดูน่าสนใจใช่ไหมคะ ตามมาดูกันดีกว่า

โปรแกรมที่เราจะพูดถึงกันวันนี้ไม่ต้องไปสมัครสมาชิกฟิตเนสให้เสียตังค์ และใช้เวลาไม่เกิน 30 นาทีในแต่ละวัน สิ่งที่จะได้จากโปรแกรมนี้ นอกเหนือจากรูปร่างที่เฟิร์มแล้ว คือนิสัยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ


การออกกำลังกายจะแยกเป็นสองแบบคือ แบบเพิ่มพละกำลังและการวิ่ง การฝึกแบบพละกำลัง ซึ่งจะฝึกกับน้ำหนักของร่างกาย เช่น วิดพื้นและลุกนั่ง เป็นท่าที่ไม่ใช้อุปกรณ์อื่นช่วยค่ะ ส่วนการวิ่ง ก็คือ วิ่งในระดับความเร็วตามลำดับที่จะจัดให้ตามโปรแกรมด้านล่างนะคะ

วันที่ฝึกกำลังจะเป็นสีแดงค่ะ วันที่วิ่งก็จะเป็นสีส้มนะคะ สีเหลืองก็นอนอยู่บ้านค่ะเป็นวันพัก มี 9 ข้อที่สาวๆควรรู้ก่อนเริ่มโปรแกรมคือ

1. โปรแกรมนี้ออกแบบมาให้กับคนทุกคนสามารถทำได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้เริ่มต้นออกกำลังหรือสำหรับสาวๆที่ออกกำลังเป็นประจำ

2. ทุกสัปดาห์จะประกอบด้วยวันฝึกพละกำลัง วันวิ่ง และวันพัก ซึ่งการฝึกกำลังจะช่วยให้รูปร่างฟิต การวิ่งจะช่วยเรื่องหัวใจ และการพักก็จะทำให้ร่างกายได้พักฟื้นค่ะ

3. การออกกำลังกายแบบวิ่งแบบไหนที่สาวๆไม่รู้จักสามารถเข้ามาดูได้ ที่นี่เลยค่ะ หรือสาวๆลองเข้าไปหาใน google ดูก็ได้ค่ะ

4. ดูท่าออกกำลังกายแบบ body weight workout ได้ที่นี่ หรือลองหาใน google ก็มีค่ะ

5. วันพักถูกออกแบบมาให้อยู่ในโปรแกรมการออกกำลังกายด้วย เพราะการพักผ่อนก็เป็นสิ่งจำเป็น

6. จะเริ่มโปรแกรมเมื่อไหร่ก็ได้เช่น เริ่ม 4 มกราคม ก็จะ จบโปรแกรม วันสุดท้ายของเดือนพอดี

7. สาวๆ จะทำตาม โปรแกรมที่ให้มา หรือจะสลับวันก็ได้แล้วแต่เลยค่ะ แต่ต้องทำให้ครบนะ

8. ถ้าสาวๆเป็นมือใหม่หัดออกกำลังกาย อย่าหักโหม อย่าฝืนร่างกายจนเกินไปนะเพราะอาจเกิดอันตรายขึ้นได้

9. หลังจากทำตามโปรแกรม เสร็จแล้ว ก็ควรทำต่อไปเรื่อยๆ แล้วสาวๆก็จะพบว่ามันจะง่ายขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย

เอาล่ะ เข้าสู่โปรแกรมกันเลย ===>>> 

1. Bodyweight Workout 

ท่าออกกำลังกายเหล่านี้จะมีความเข้มข้นมาก นั่นก็หมายความว่า สาวๆจะได้ใช้พลังงานจำนวนมากในเวลาอันสั้น และที่สำคัญที่สุดคือ สาวๆต้องพยายามทำท่าออกกำลังกายอย่างถูกต้องในทุกครั้ง เพื่อการบริหารกล้ามเนื้อและเผาผลาญอย่างตรงจุด

ถ้าเหนื่อยเกินไปจนทำให้ออกกำลังกายผิดท่าก็พอนะคะ อย่าฝืน มันไม่ได้อะไร แล้วก็จะกลายเป็นว่าเราไปกดดันตัวเองเปล่าๆ เสี่ยงต่อการบาดเจ็บด้วย และเดี๋ยวจะไม่ชอบการออกกำลังกายเอา

** ถ้าสมมุติว่าสาวๆคนไหนวิดพื้นหรือท่าออกกำลังกายอื่นได้ไม่ถึง 50 ครั้งใน 20 นาทีลองแบ่งเอาก็ได้นะ เช่น วิดพื้นได้แค่ 25 ที ก็แบ่งเป็นเซตละ 5-6 ก็ได้นะคะ ไม่ต้องทำให้ครบ 10 **

1.1 ออกกำลังกายทุกส่วน
เริ่มจับเวลา

1. วิดพื้น 10 ครั้ง

2. กระโดดตบ จนเวลาผ่านไป 1 นาที

3. spider lunges 10 ครั้ง

4. กระโดดตบ จนเวลาที่จับผ่านไป 2 นาที

5. jumping lunges 10 ครั้ง

6. กระโดดตบ จนเวลาที่จับผ่านไป 3 นาที

7. walkout 10 ครั้ง

พัก 1 นาที แล้วทำซ้ำอีก 5 รอบค่ะ


1.2 เพิ่มความแข็งแรงหน้าท้อง

โปรแกรมย่อยนี้จะแบ่งเป็น 2 ช่วงค่ะ

ช่วงแรก

1. plank taps 10 ครั้ง

2. jumping lunges 10 ครั้ง

ช่วงที่สอง พัก 2 นาที

1. spider lunges 10 ครั้ง

2. reverse lunges 10 ครั้ง

พัก 1 นาที และทำซ้ำ 8 รอบค่ะ !!





















1.3 ออกกำลังส่วนบน 

จับเวลาค่ะ

1. วิดพื้นให้ได้จำนวนครั้งมากที่สุด ท่าต้องเป๊ะนะคะ ภายในเวลา 30 วินาที

2. พัก 10 วินาที

3. ทำท่า plank tapsให้ได้มากที่สุดในเวลา 30 วินาที

4. พัก 10 วินาที

5. walkout ให้ได้มากที่สุดในเวลา 30 วินาที

พัก 1-2 นาที แล้วทำใหม่ทั้งหมดอีกจำนวน 10 รอบ

(ตัวช่วยพิเศษ พักระหว่างท่า จาก 10 เป็น 20 วินาทีก็ได้ถ้าไม่ไหว)

1.4 ออกกำลังช่วงล่าง

จับเวลา

1. squats ให้ได้มากที่สุดภายในเวลา 30 วินาที

2. พัก 10 วินาที

3. dread-lift ขาเดียว ให้ได้มากที่สุดในเวลา 30 วินาที

4. พัก 10 วินาที

5. glute bridge ให้ได้ากที่สุดในเวลา 30 วินาที

พัก 1-2 นาที แล้วทำซ้ำ 10 รอบ

(ตัวช่วยพิเศษ พักระหว่างท่า จาก 10 เป็น 20 วินาทีก็ได้ถ้าไม่ไหว)


2. Runing Workout

ก็คือการวิ่งออกกำลังนั่นแหละค่ะ แต่เราจะมีระดับความเข้มข้น 10 ระดับด้วยกัน โดยให้ระดับ 5 คือการวิ่งที่สาวๆยังพอพูดคุยขณะวิ่งได้อยู่ 


ในหมวดหมู่การวิ่งจะประกอบด้วย




1. Time Ladderรายละเอียดตามรูปด้านล่างเลยค่ะ- ตารางฝั่งซ้ายจะเป็นระดับความเข้มข้น ฝั่งขวาจะเป็นระยะเวลาที่ใช้ความเข้มข้นนั้น- โดยจะมีการวอร์มอัพเบาๆ 5 นาทีก่อนเข้าสู่โปรแกรมฝึก และปิดท้ายด้วย การคูลิ่งดาวน์ 5 นาทีค่ะ

2. Interval Running การวิ่งรูปแบบนี้ก็จะเด่นตรงที่ ระดับความเข้มข้นจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเราก็ต้องวิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆมันจะช่วยเริ่งการเผาผลาญได้อย่างดีเลยค่ะ 
- อย่าลืมวอร์มอัพและคูลดาวน์ด้วยนะคะ 


3. Tempo Running 
คือกาารวิ่งในความเร็ว (ความเข้มข้น) เท่าเดิมทั้งการฝึกค่ะ อาจจะผ่อนขึ้นลงได้ตามใจสาวๆค่ะ

ยาวเลยค่ะหัวข้อวันนี้ อย่าลืมการวอร์มอัพคูลดาวน์ และยืดกล้ามเนื้อนะคะ มันสำคัญค่อนข้างมากทีเดียว ไม่ใช่แค่ทำให้ร่างการเราปรับสภาพได้แต่ยังทำให้อาการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นในขณะการฝึกลดความรุนแรงลงได้ด้วยค่ะ


แปลเรียบเรียงโดย The Canary Bird

ที่มา buzzfeed

Monday, May 11, 2015

4 ความเชื่อฟิต&เฟิร์ม จริงหรือมั่ว?

ทุกวันนี้คนเราสามารถหาความรู้ และข่าวสารต่างๆได้อย่างง่ายดายเพียงแค่เปิดหาจากอินเตอร์เน็ตที่ไหนก็ได้ แต่อย่างไรหลายๆคนก็ยังยึดติดกับความเชื่อเก่าๆอยู่เสมอ เรื่องที่คนพูดต่อๆกันมา แล้วเราก็เชื่อและยึดติดกับความเชื่อเหล่านั้นโดยไม่เคยสงสัยว่าเรื่องเหล่านั้นมันจริงหรือมั่วกันแน่ วันนี้ผมอยากจะนำเสนอถึงความเชื่อ 4 ประการเกี่ยวกับการดูแลรูปร่างและการออกกำลังกาย มาดูกันว่ามีเรื่องอะไรบ้าง มันเป็นจริงใช่มั้ยหรือเป็นความเข้าใจผิดๆ มาติดตามกันได้เลยครับ

ความเชื่อที่ 1: “อย่ากินแป้งตอนกลางคืน มันทำให้อ้วนนะ”หรือ“มื้อเช้าซัดให้เปรมเลย มื้ออื่นค่อยกินเท่าแมวดมพอ” หรือ “อยากจะลดน้ำหนัก หลัง 6 โมงเย็นต้องงดอาหารละน้า”
ผมแน่ใจเลยครับว่าเกือบทุกคนที่อยากลดน้ำหนักจะต้องเคยผ่านความเชื่อเหล่านี้มาแล้วทั้งนั้น คุณคิดว่ามันใช้ได้จริงมากสินะ ผมขอบอกเลยครับว่ามันได้ผลครับสำหรับบางคน แต่หลายคนก็ไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆเลย ทำไมเหรอครับ? คงต้องบอกว่า ก็ร่างกายและกิจวัตรประจำวันของแต่ล่ะคนที่แตกต่างกันครับ

ความจริง: จริงๆแล้วร่างกายของเราจะดึงพลังงานไปใช้ตอนที่เราได้ออกแรงหรือออกกำลังเท่านั้นครับ แต่หากไม่ได้ใช้ เช่น คุณกินข้าวเช้า อัดคาร์โบไฮเดรตเข้าไปอย่างหนัก แต่หลังจากนั้นตลอด 8 ชั่วโมงคุณได้แต่นั่งทำงานอยู่หน้าคอม พลังงานที่คุณกินเข้าไปนั้นจะถูกเก็บในร่างกายเป็นไขมันแทนครับ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ถูกต้องคือ คุณควรจะจัดอาหารมื้อใหญ่ที่ให้พลังงานเยอะมากที่สุดของวันไว้ในช่วงที่คุณจะใช้พลังงานมากที่สุดของวันครับ

ความเชื่อที่ 2: “ตัดคาร์โบไฮเดรตไปเลยจะได้ลีน” หรือ “ไม่กินไขมันเลยจะได้เห็นกล้ามชัดๆ”
นี่เป็นความเชื่อที่พบเจอกันได้บ่อยมากครับ โดยเฉพาะคนที่อยากดูผอมเพรียวหรือ อยากจะให้กล้ามดูชัดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการกินไขมัน 0% หรือการไม่กินคาร์โบไฮเดรตนั้นจริงๆแล้วหลักการของพวกมันเหมือนกันครับ มันคือการตัดสารอาหารหลักอย่างหนึ่งของร่างกายไปเลย ถามว่าลดน้ำหนักได้จริงไหม? แน่นอน ลดได้ครับ แต่ดีต่อร่างกายไหม? ไม่เลยครับ
ความจริง: การตัดสสารอาหารหลักไปอย่างนึงแน่นอนครับว่า แคลอรี่ที่คุณได้รับย่อมลดลงอย่างมาก วิธีที่ไม่เป็นการทำลายสุขภาพและสามารถทำได้ยั่งยืนมากกว่า คือหลัก Deficit ครับ หลักการง่ายๆแต่ต้องมีวินัยในการควบคุม พยายามให้ทุกวันของเราได้รับสารอาหารอย่างพอเพียง โดยเทียบเคียงกับกิจวัตรประจำวันของเราครับว่าใช้พลังงานมากขนาดไหน ถ้าเราสามารถกำหนดให้มีปริมาณการใช้พลังงานมากกว่าการได้รับแล้วล่ะก็ ยังไงคุณก็สามารถลดน้ำหนักได้แน่นอนครับ โดยที่ยังสามารถเอ็นจอยกับอาหารที่คุณโปรดปรานได้อย่างไม่มีปัญหาครับ

ความเชื่อที่ 3: “กินเยอะๆ ตัวจะได้โตๆ” หรือ “Bulk เพื่อให้ได้กล้ามเนื้อ”
สำหรับคนที่เล่นกล้าม หรือคนที่รูปร่างบางผอมเพรียวแต่อยากตัวใหญ่ขึ้น ดูหนาขึ้น
ก็คงจะเคยได้ยินกันมานะครับ ที่มีคนมาบอกคุณอยู่เสมอว่าให้กินให้เยอะๆ ให้มากกว่าที่ปกติเราอิ่มมากขึ้นไปอีก สำหรับผม ผมบอกเลยครับว่า สำหรับคนที่เพิ่มน้ำหนักจริงๆ และไม่ได้อยากสร้างกล้ามเนื้อที่แข็งแรงมีคุณภาพจริงๆ ความเชื่อนี้เป็นความจริงครับ แต่หากคุณอยากสร้างกล้ามเนื้อแน่นๆ แข็งแรง ถึงจะมีไขมันสะสมเพิ่มขึ้นอยู่บ้าง อันนี้ไม่ถือว่าถูกทั้งหมดครับ
ความจริง: การเพิ่มน้ำหนักที่ถูกต้องจริงๆแล้วไม่ได้ต้องกินแบบยัดหมอน ให้ตัวแตกหรอกครับ จริงๆแล้วหากคุณเรียนรู้เรื่อง Deficit และสามารถควบคุมการกิน และการใช้พลังงานได้ล่ะก็ การที่มีแคลอรี่เกินกว่าที่ร่างกายใช้เล็กน้อยทุกๆวันยังไงน้ำหนักก็ขึ้นอย่างแน่นอนครับ ทั้งนี้หากรู้จักกินคาร์บก่อน และหลังการออกกำลังกายให้ดีล่ะก็ยังเป็นการทำให้กล้ามเนื้อเติบโตได้ดีขึ้นอีกด้วย

ความเชื่อที่ 4: ขาเล็กเป็นขาไก่ อยากมีขาเต็มไปด้วยมัดกล้ามแข็งแรงต้อง “Squat”
คนส่วนใหญ่อาจจะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการเล่นกล้ามเนื้อขากันนักซักเท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ดีกล้ามเนื้อขาเป็นกล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่สุดในร่างกายคนเรา และหากเรามีกล้ามเนื้อเยอะมากเท่าไหร่ อัตราการเผาผลาญพลังงานก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น และท่า Squat นี้ก็จะเป็นท่าที่คนเล่นขามักจะนึกถึงเป็นท่าหลักๆ จนกระทั่งบางคนอาจจะเล่นแต่ท่า Squatไปเลยก็มี
ความจริง: จริงๆแล้วการออกกำลังกาย ไม่มีคู่มือบอกหรอกครับ ว่าต้องทำอย่างนู้นทำอย่างนี้ ทุกๆท่ามีความแตกต่างกัน ทำให้กล้ามเนื้อแต่ล่ะส่วนทำงานไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นหากคุณเป็นพวกที่ Squatไม่ค่อยได้ มีการอาการเจ็บหรือรู้สึกเล่นไม่ค่อยโดน ไม่ต้องกังวลไปครับ หันไปเล่นท่าอื่น อาจจะทำให้คุณพัฒนาไปได้ดี และเร็วกว่าการที่คุณยังฝืน และยังพยายามทำ Squat ต่อไปครับ
Marc Snyder

สามารถติดตามอ่านบทความ original ก่อนแปลได้ที่
http://www.labrada.com/blog/fat_loss/bodybuilding-myths/
สุดท้ายนี้ผมคิดหวังว่าคงจะช่วยไขข้อข้องใจกับความเชื่อที่เค้าว่ากันว่าทั้งหลาย และคิดว่ามีประโยชน์กับทุกๆคนนะครับ ส่วนถ้ามีคำถามอะไรที่อยากให้ลงรายละเอียดมากขึ้นสามารถสอบถามเข้ามาเพิ่มเติมได้นะครับ

แปลและเรียบเรียงโดย
dulminus

Sunday, May 10, 2015

แมงลัก สรรพคุณแจ่มแท้ ก่อนกินตามกระแส รู้ 10 เรื่องนี้หรือยัง?

แมงลัก สรรพคุณไม่ธรรมดาจริง ๆ ไม่ใช่แค่ช่วยลดน้ำหนักได้ แต่ยังมีประโยชน์อีกมากมายแฝงอยู่ในพืชชนิดนี้ ทั้งส่วนใบและส่วนเมล็ด ก่อนจะทานตามกระแสที่ใคร ๆ เขาบอกว่าดี มารู้จักเม็ดแมงลักให้มากขึ้นเสียก่อน จะได้รู้ว่าสมุนไพรชนิดนี้เหมาะกับเราหรือเปล่า



1. แมงลักเป็นพืชตระกูลกะเพรา

บางคนรู้จักแต่เม็ดแมงลัก แต่ไม่เคยเห็นต้นและใบ เลยไม่รู้ว่านี่ก็เป็นหนึ่งในพืชตระกูลกะเพรา-โหระพา (Basil) เหมือนกันนะ โดยมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Hoary Basil หรือ Hairy Basil ลักษณะต้นคล้ายกับต้นกะเพรา แต่กลิ่นไม่เหมือนกัน นอกจากนี้ต้นและใบกะเพรากับโหระพายังมีสีแดงปนอยู่บ้าง แต่แมงลักจะไม่มีสีแดงเลย

2. ใบแมงลักให้พลังงานน้อย แต่สารอาหารเพียบ

ข้อมูลจากระบบฐานข้อมูลสารอาหารไทย โดยสำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยพายัพ และสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ ระบุว่า ใบแมงลักหนึ่งหน่วยบริโภค ให้พลังงานเพียง 32 กิโลแคอลรี และยังให้แร่ธาตุวิตามินมากมาย คือ

วิตามินบี 1 0.12 มิลลิกรัม
วิตามินบี 2 0.28 มิลลิกรัม
วิตามินซี 12 มิลลิกรัม
แคลเซียม 194 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 42 มิลลิกรัม
เหล็ก 3.8 มิลลิกรัม
คาร์โบไฮเดรต 2.2 กรัม
โปรตีน 4.1 กรัม
ไขมัน 0.8 กรัม
น้ำ 89.3 กรัม
ไฟเบอร์ 1.6 กรัม

3. รักษาโรคหวัดได้ด้วย

คนชอบเป็นหวัดคัดจมูกต้องผูกมิตรกับใบแมงลักไว้สักหน่อยค่ะ เพราะแมงลักเป็นยารสร้อนเล็กน้อย ใบสดของแมงลักมีสรรพคุณเป็นยาแก้หวัด ลดอาการหลอดลมอักเสบ ขับเหงื่อได้ แนะนำใส่ในแกงเลียงที่มีสมุนไพรหลายชนิด แล้วอาการหวัดจะดีขึ้น

4. เรียกน้ำนมให้คุณแม่มือใหม่

จะบอกให้รู้ว่า "ใบแมงลัก" เป็นสมุนไพรที่ช่วยเรียกน้ำนมได้ดีทีเดียว เหมาะสำหรับคุณแม่ที่เพิ่งคลอดบุตรใหม่ ๆ การทานแมงลักจะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนม เพิ่มปริมาณสารอาหารในน้ำนมของมารดาส่งต่อให้ลูกน้อย อีกทั้งยังช่วยแก้อาการน้ำนมคัดได้อีกนะ

5. ช่วยขับคอเลสเตอรอลไม่ดีออกจากร่างกาย

ในอาหารที่เราทานเข้าไปมีทั้งคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) และคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) แต่เม็ดแมงลักมีส่วนช่วยขับคอเลสเตอรอลตัวร้ายออกจากร่างกายได้ เพราะเส้นใยของแมงลักสามารถดูดซับไขมันไว้ได้ เมื่อร่างกายไม่สามารถย่อยกากใยพวกนี้ได้ ไขมันไม่ดีก็จะถูกขับออกมาพร้อมกับเส้นใยของแมงลัก แต่ไม่มีผลใด ๆ ต่อไขมันดี

และในเมื่อเม็ดแมงลักสามารถกำจัดคอเลสเตอรอลตัวร้ายให้พ้นจากร่างกายไปได้ เพราะฉะนั้นหัวใจดวงน้อย ๆ เลยได้อานิสงส์ไปเต็ม ๆ ถ้ารับประทานเม็ดแมงลักเป็นประจำก็ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้เลย

6. นี่ละตัวช่วยควบคุมน้ำหนักชั้นเลิศ

เคล็ดลับลดน้ำหนักหลายสำนักมักแนะนำให้ทานเม็ดแมงลักก่อนทานอาหาร ซึ่งก็ได้ผลจริง ๆ ค่ะ เพราะเม็ดแมงลักไม่ก่อให้เกิดพลังงาน แถมยังสามารถพองตัวได้ถึง 45 เท่า หากนำไปแช่น้ำสักพักจนพองตัว แล้วนำมาทานก่อนทานอาหารก็จะช่วยให้เรารู้สึกอิ่มท้อง หลังจากนี้ก็จะทานอาหารได้น้อยลง เป็นการควบคุมปริมาณอาหารที่รับประทานได้เป็นอย่างดี เลยควบคุมน้ำหนักได้ด้วย

แต่ขอเตือนว่าไม่ใช่หวังจะลดน้ำหนัก เลยทานแต่เม็ดแมงลักทุกมื้อ ถ้าเป็นแบบนี้รับรองได้ป่วยเพราะขาดสารอาหารแน่นอน ควรรับประทานแค่บางมื้อ หรือพอให้กระเพาะอาหารรู้สึกอิ่มเท่านั้นดีกว่าค่ะ

7. ท้องผูก ไม่ถ่าย เป็นยาระบายชั้นดี

ด้วยความที่เปลือกด้านนอกสามารถพองตัวได้ถึง 45 เท่า โดยไม่ถูกย่อย เม็ดแมงลักก็เลยช่วยเพิ่มกากใยและช่วยหล่อลื่น ทำให้อุจจาระไม่เกาะลำไส้ ขับถ่ายสะดวกขึ้นเยอะ เพราะเม็ดแมงลักจะไปกระตุ้นประสาทที่อยู่รอบ ๆ ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ทำให้เกิดปวดท้องหนัก คนท้องผูกบ่อย ๆ ต้องสรรหาเม็ดแมงลักมาทานดูว่าเห็นผลแค่ไหน วิธีใช้คือรับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนชา แช่น้ำให้พอง แล้วดื่มก่อนนอน

8. ป่วยเบาหวานก็ทานเม็ดแมงลักได้

การที่เม็ดแมงลักพองตัวมากขนาดนั้น เลยทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ช้าลง จึงเหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ต้องการให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลลดลงด้วย

9. ก่อนทานต้องแช่น้ำให้พองตัวเต็มที่

นี่เป็นข้อควรระวังขีดเส้นใต้หนา ๆ ไว้เลยนะคะ เพราะถ้ารับประทานเม็ดแมงลักที่ยังพองตัวไม่เต็มที่ เมื่อเม็ดแมงลักลงไปอยู่ในท้องก็จะดูดน้ำภายในช่องทางเดินอาหาร ทำให้เม็ดแมงลักจับตัวเป็นก้อนแข็ง และอุดตันลำไส้ จนทำให้เกิดการท้องผูก และท้องอืดมากขึ้น แย่เลย

10. อย่าทานยาพร้อมเม็ดแมงลัก

การรับประทานแมงลักพร้อมกับยาตัวอื่น ๆ จะมีผลทำให้ร่างกายดูดซึมยาเหล่านั้นได้น้อยลง ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยากับเม็ดแมงลักพร้อม ๆ กัน โดยให้เลือกรับประทานยาก่อนสัก 15 นาที ค่อยตามด้วยการรับประทานเม็ดแมงลัก

ทานใบแมงลักและเม็ดแมงลักให้ถูกวิธีก็ช่วยดูแลสุขภาพได้ แต่ถ้าใครไม่ชอบทานเม็ดแมงลักผสมน้ำเปล่า ๆ อาจทานกับน้ำแดง หรือผสมลงในผลไม้ โยเกิร์ต แล้วจะช่วยให้ทานได้ง่ายขึ้น อร่อยพร้อมสุขภาพดีแบบคูณสอง

ขอบคุณบทความจาก : health.kapook.com

Saturday, May 9, 2015

มีข่าวดีมากบอก Promotion โยคะฟลาย ลดกระหน่ำ

📢 กลับมาอีกครั้ง กับโปรโยคะฟลาย ลดสุดๆแบบถึงใจ 15 คลาส 2,999 บาท ที่ใช้ได้นานถึง 2 เดือน นับจากคลาสเรียนแรก (Beginner class only)
พิเศษเฉพาะ 100 ท่านแรก หรือ จนกว่าจะหมดเขต 31 พ.ค. นี้เท่านั้น !!! ปิดรับสมัครเรียบร้อยแล้วนะคะ เนื่องจากเต็มจำนวน 100 ท่านแรก เรียบร้อยแล้ว


โปรนี้เหมาะกับใคร? 
✔️เหมาะสำหรับทุกเพศ ทุกวัย
✔️เหมาะสำหรับคนที่ไม่เคยเรียนโยคะ หรือโยคะ ฟลายมาก่อน 
✔️เหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย 
✔️เหมาะสำหรับคนที่ตัวแข็งทื่อ ไม่มีความยืดหยุ่น
✔️เหมาะสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก กระชับสัดส่วน และปรับ postures ให้ถูกต้องและสวยงามยิ่งขึ้น 



ประโยชน์ของโยคะฟลาย Yoga fly
การเรียนโยคะ ฟลาย จะเน้นในเรื่องการเหยียดยืดกระดูสันหลังอย่างนิ่มนวล ซึ่งไม่มีการออกกำลังกายชนิดไหนทำได้แบบนี้เลย เพิ่มส่วนสูงในวัยทีน ได้ในเรื่องของการปรับ postures ให้ถูกต้องความสง่างามยิ่งขึ้น ลดน้ำหนัก กระชับสัดส่วน และสร้างความยืดหยุ่น ลดอาการปวดหลัง 

สมัครเรียนได้โดยตรงที่ The Balance Studio อาคารอินเตอร์เชนจ ชั้น B2 ตรงข้าม Terminal 21 ติด BTS อโศก exit 6 MRT สุขุมวิท exit 2

รายละเอียดเพิ่มเติม http://www.sanooklife.com/collections/50-yogafly-bangkok/products/introduction-15-classes

ชอบกินของหวาน แต่ก็อยากหุ่นสวย

สาวๆ เอ๊ย หุ่นดีกับความอร่อยมันช่างไปด้วยกันไม่ได้เนอะ บางคนชอบบัวลอยน้ำกระทิ บางคนชอบ


สเต๊กหมูติดมัน (หมูปิ้งน่ะแหละ ฮิๆ) บางคนชอบกินหมูกระทะ บางคนชอบกินเค้ก บางคนชอบกินไอติม (ขอให้คำว่าไอติม มันดูอร่อยน่ารักกว่า ไอศกรีม)  
ไม่เป็นไรนะ เรามีสิ่งดีๆ จะมานำเสนอท่าน… นั่นก็คือ ไอติมกล้วยหอม หวานๆ เย็นๆ หอมชื่นใจจริงๆ
 

          ไม่ยากเลย เพียงเรานำกล้วยหอมมาหั่นเป็นชิ้นๆ 


แล้วนำไปปั่นผสมกับ peanut butter ซึ่งหาซื้อได้ ตามห้างสรรพสินค้า
 

อาจจะใส่น้ำผึ้งลงไปอีกเล็กน้อย เพิ่มความหวาน และใส่นมผงอีกสักหน่อยเพิ่มความมัน หรือจะใส่กะทิธัญพืชก็ดี แต่อย่าใส่น้ำตาลเด็ดขาดนะ เดี๋ยวจะอ้วน 


ปั่นให้เป็นเนื้อเนียนๆ ตักใส่ถ้วยแล้วนำไปฟรีซ  
         ทุกๆ ครึ่งชั่วโมง ให้เอาออกมาคนให้เป็นเนื้อเดียวกัน ทำประมาณ 5 รอบก็ได้แล้ว หรือ ใครมีเครื่องทำไอศกรีมก็เยี่ยมไปเลยล่ะ แค่นี้เราก็จะได้ไอติมอร่อยๆ ตักกินได้เพลินๆ แต่ไม่ทำให้อ้วนนะ
          ใครที่ไม่ชอบกล้วย ก็เปลี่ยนเป็นผลไม้ที่เราชอบก็ได้ ควรเลือกผลไม้ที่ไม่มีกาก เพราะตอนตักกินจะได้เนื้อไอศกรีมเนียนนุ่ม 

       
            หรือเราจะใช้ผลไม้ที่ให้สีสดๆ ก็ได้ อย่าง ราสพ์เบอรี่, สตรอเบอรี่, บลูเบอรี่, แก้วมังกรสีแดง ก็จะเพิ่มสีสันให้กับไอศกรีมของเรา และหากอยากได้ความัน กลมกล่อม ก็ให้ใส่โยเกิร์ตลงไปจะได้เปรี้ยว หวาน มัน อร่อยเชียวล่ะ ขอ บว์อกกก  

Thursday, May 7, 2015

ผัก ผลไม้ ชนิดใดที่ช่วยลดคลอเลสเตอรอลได้

คอเลสเตอรอล (Cholesterol) คือไขมันที่อยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์และสัตว์ เป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยให้ร่างกายทำงานได้ คอเลสเตอรอลผลิตในตับแล้วส่งไปยังส่วนต่าง ๆ ทางเส้นเลือดให้แก่เซลล์ เซลล์จะคอยรับคอเลสเตอรอลในจำนวนที่มันต้องการ ส่วนที่เหลือเกินจะยังคงติดกรังอยู่ในเส้นเลือด ขัดขวางการไหลเวียนของกระแสเลือด หากเกิดกับเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ก็ปรากฎอาการโรคหัวใจ


คอเลสเตอรอล 2 ชนิด

คอเลสเตอรอลมี 2 ชนิด คือ ชนิดดีและชนิดไม่ดี 

ชนิดดีเรียกว่า HDLs (High Density Lipoproteins) ได้จากอาหารและร่างกายผลิตขึ้นเพื่อนำไปใช้ ชนิดดีนี้จะช่วยขับคอเลสเตอรอลที่เกินต้องการออกจากร่างกายด้วย

ชนิดไม่ดีเรียกว่า LDLs (Low Density Lipoproteins) ได้จากอาหารเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เป็นชนิดที่ร่างกายไม่ต้องการ คนที่มีคอเลสเตอรอลสูงจึงควรดูให้ละเอียดด้วยว่า สัดส่วนของชนิดดี กับชนิดไม่ดี เป็นอย่างไร เราควรมีชนิดดีสูง ๆ แต่ถ้ามีชนิดดีต่ำ แปลว่าอัตราเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจค่อนข้างสูง

ระดับคอเลสเตอรอลปกติควรต่ำกว่า 200 สำหรับ HDLs นั้นสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งดี มีการวิจัยออกมาแล้วว่า กลุ่มคนที่กินผักบ่อย ๆ จะมีคอเลสเตอรอลต่ำกว่ากลุ่มคนที่กินแต่เนื้อสัตว์เป็นส่วนใหญ่ เมื่อแพทย์พบว่าคนไข้มีคอเลสเตอรอลสูงก็มักจะแนะนำให้ลดความอ้วน ไม่ให้กินอาหารที่มีไขมันสูง

วิธีเพิ่ม HDLs ลด LDLs ด้วยอาหารธรรมชาติ เช่น หอมใหญ่ หอมเล็ก เป็นของดีมีประโยชน์ทำให้ตัว HDLs สูง ถ้าเอาไปทำให้สุกก็จะด้อยคุณค่าลงเล็กน้อย

ผัก ผลไม้ มักอุดมด้วย วิตามินซี เบต้าแคโรทีน (Beto carotene) และพวกแอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidants) ทั้งหลาย ซึ่งจะมีประโยชน์อย่างมากในการทำให้ LDLs เปลี่ยนเป็นน้ำดี วิตามินซี สามารถรวมตัวกับคลอเลสเตอรอลและแคลเซี่ยมทำให้คอเลสเตอรอลละลายน้ำได้ ข้อสำคัญอย่ากินผลไม้ที่เป็นแป้งและหวานมาก อันจะมีผลต่อน้ำตาลสูงเกินไปอีก

ถั่วและธัญญพืช เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ และข้าวซ้อมมือ ลูกเดือย ข้าวโอ๊ต ก็เป็นกลุ่มอาหารที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้อย่างเร็ว ทั้งยังช่วยเสริมโปรตีนด้วย

กระเทียมมีสารอัลลิไทอะมีน ช่วยเผาผลาญไขมันและลดคอเลสเตอรอล เพิ่ม HDLs

อาหารที่มีวิตามินอีสูง ได้แก่น้ำมันมะกอก ถั่วอัลมอนด์ ผลอะโวคาโด และพวกธัญพืชต่าง ๆ แต่น้ำมันมะกอกถั่วอัลมอนด์และอะโวคาโด ช่วยทำให้ HDLs ของคุณสูงขึ้นเป็นไขมันที่ร่างกายต้องการเช่นเดียวกับไขมันจากปลา

ประโยชน์และความสำคัญของน้ำมันปลา?

ผลจากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์แสดงให้เห็นว่ากรดไขมันจำเป็นชนิดโอเมก้า 3 สามารถป้องกันการสะสมคอเลสเตอรอลในหลอดเลือดได้ EPA และ DHA ในน้ำมันปลา ลดการสร้างคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ โดยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ในตับ

การได้รับไขมันจากปลาควบคู่ไปกับอาหารไขมันสูงชนิดอื่น จึงสามารถช่วยป้องกันการสะสมของคอเลสเตอรอลที่เกินต้องการไม่ให้จับเกาะผนังของเส้นเลือด พบว่าชาวเอสกีโมไม่มีโรคหัวใจ แม้ในชีวิตประจำวันจะกินไขมันมากมายเพื่อสร้างความอบอุ่นแก่ร่างกาย เนื่องจากมีการกินปลาอยู่เป็นประจำ

เพื่อลดคลอเลสเตอรอล เราควรรับประทานอาหารประเภท

1. มะเขือต่างๆ ทั้งมะเขือเทศ มะเขือเปราะ หรือมะเขือพวง อย่างมะเขือเทศก็จะมีทั้งวิตามินซี รวมทั้งมีสารเบต้าแคโรทีนและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์อีกหลายชนิด

2. หอมหัวใหญ่ และ กระเทียมสด สองอย่างนี้มีสรรพคุณชัดเจนในเรื่องของการช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง และลดระดับไขมันและคลอเลสเตอรอลในเส้นเลือด และสารที่สกัดจากหัวหอมใหญ่ สามารถลดน้ำตาลในเส้นเลือดได้

3. ถั่วเหลือง พืชตระกูลถั่วที่ให้โปรตีนสูง ต่อมาคือ แอปเปิ้ล ผลไม้สารพัดประโยชน์ที่มีเพคติน ซึ่งเป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ ซึ่งไฟเบอร์ประเภทนี้จะดึงคอเรสเตอรอลแล้วขับออกมาจากร่างกายได้ นอกจากนั้นก็ยังช่วยบำรุงหัวใจ ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในร่างกาย และอย่างสุดท้ายคือ โยเกิร์ต ที่นอกจากจะช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดได้แล้ว ก็ยังบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งอีกด้วย

4. รับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารเยอะในมื้อเช้า ได้แก่ ข้าวโอ๊ต ผลไม้ เป็นต้น เมื่อเลือกซื้อธัญญหาร ซีเรียล ต่าง ๆ ควรอ่านฉลากข้างกล่อง เลือกซื้อประเภทที่ระบุว่ามีเส้นใยอาหาร 5 กรัมหรือมากกว่า รำข้าวโอ๊ตและรำข้าวเจ้า เป็นอาหาร ที่มีเส้นใยอาหารมากที่สุด

5. รับประทานธัญพืช ได้แก่ ขนมปังโฮลวีต ลูกเดือย เป็นต้น

6. รับประทานถั่ว อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ได้แก่ ซุปถั่ว ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเหลือง ผลิตภัณฑ์ของถั่วเหลือง

7. รับประทานผักและผลไม้ 5 ชนิดทุกวัน เช่น ในมื้อเช้าให้รับประทานผัก (ได้แก่ แครอท มะเขือเทศหั่นบาง)มื้อเที่ยง ผลไม้ (ได้แก่ ส้ม แอปเปิ้ล) มื้อเย็นรับประทานสลัดและผลไม้เพียงแค่นี้ก็สามารถทำให้คุณได้รับผักและผลไม้ 5 ชนิดในแต่ละวัน

8. รับประทานผลไม้สดแทนการดื่มน้ำผลไม้

9. รับประทานกระเทียม เพราะกระเทียมมีคุณสมบัติช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดลง

10. รับประทานผักที่มีวิตามิน ซีและอีสูง อาหารที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ พริกเขียว พริกแดง สตอร์เบอรี่ บร๊อคโคลี่ ส้ม แคนตาลูป สับปะรด เป็นต้น อาหารที่มีวิตามินอีสูง ได้แก่ เมล็ดถั่วเหลือง ถั่วอัลมอนด์ ถั่วเปลือกแข็ง น้ำมันถั่วเหลือง ถั่วเหลือง เป็นต้น

11. มีบางการศึกษาแสดงให้เห็นว่าดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณน้อย ๆ ช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลลง แต่ถึงอย่างไรก็ตามแพทย์ก็ไม่แนะนำให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

นอกจากนี้ควรปฏิบัติดังนี้ 

1. ออกกำลังกายเบาๆ เช่น การเดิน รำไทเก็ก เป็นต้น

2. อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ ชา กาแฟ เหล้า บุหรี่ เกลือและน้ำตาล อาหารกระป๋อง หรือสำเร็จรูป ขนมปังขาว

 Credit : โรงพยาบาลพัทลุง